ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2566 |
---|---|
ผู้เขียน | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ |
เผยแพร่ |
ตอนที่ผมเรียนชั้นประถมอยู่นั้น ผมกับพี่ๆ น้องๆ จะได้รับเงินจากพ่อไปกินอาหารเที่ยงที่โรงเรียน วันละ 1 บาททุกคน
ราคาราดหน้า ผัดซีอิ๊ว ที่ขายในโรงอาหารที่โรงเรียน จานละ 25 สตางค์ ยังเหลือไปกินขนมได้อีก
เรื่องความประหยัด พวกผมจะประหยัดเงินที่พ่อให้มาทุกวัน จะเก็บเงินไว้ เพราะเตรียมข้าวและกับข้าวใส่กล่องมากินที่โรงเรียน
เงินที่เก็บไว้ พอครบ 5 วัน จะได้ 5 บาท พี่ๆ กับน้องๆ ของผมจะเอาเงินไปฝากธนาคารออมสินกัน ทุกเช้าวันเสาร์
และธนาคารจะมีของขวัญให้นักเรียนที่นำเงินไปฝาก เป็นการ์ดรูปชุดต่างๆ เช่น ชุดรูปโขน ชุดรูปวัดสำคัญ ชุดน้ำตกในประเทศ รูปสัตว์ต่างๆ เป็นนกบ้าง สัตว์เคี้ยวเอื้องบ้าง เป็นพวกปลาบ้าง ทำให้เด็กๆ อยากได้ จึงเอาเงินไปฝาก และเป็นการฝึกให้เป็นคนประหยัด
ช่วงที่ผมเข้าเรียนชั้น ป.5 ถือเป็นชั้นประถมปลาย และต้องเสียค่าเทอมคนละ 40 บาท ถ้าใครมีพี่น้องตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป 2 คนแรกจะเสียค่าเทอมคนละ 40 บาท คนที่ 3 ไม่ต้องเสีย
ผมมีพี่ชาย 2 คน ดังนั้น ด้วยกฎในสมัยนั้น ผมจึงเรียนฟรี
แต่เพราะว่าฐานะทางบ้านไม่ดี ค่อนข้างยากจน พี่ๆ ของผมจึงต้องออกจากโรงเรียนในภายหลัง เพื่อมาช่วยพ่อและแม่ของผมทำสวน ตอนที่ผมเรียนชั้น ป.1 ผมยังทันไปโรงเรียนกับพี่สาวคนรอง แต่พี่สาวคนรองก็ต้องออกจากการเรียนตั้งแต่ชั้น ป.5
ดังนั้น การเล่าเรียนของเด็กบ้านนอกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าครอบครัวไม่พร้อม ก็เรียนต่อไม่ได้
โรงเรียนชั้นประถมที่ผมเรียนอยู่ 6 ปี จะมีครูใหญ่ชื่อ คุณครูวรพจน์ ไหลงาม เป็นครูใหญ่มาตลอด
เรื่องผลการเรียนของผมพอประมาณ ไม่ขี้เหร่จนเกินไป ในชีวิตการเรียนไม่เคยสอบได้ที่ 1 เก่งที่สุดของผมคือ การสอบได้เลขตัวเดียวได้คะแนนราวๆ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผมทำได้แค่นี้
เด็กนักเรียนชั้นประถมสมัยนั้น นอกจากเรียนวิชาเลข สังคม สุขศึกษา ยังเรียนวิชาเรียงความ ย่อความ และวิชาเขียนจดหมายด้วย
ผมจะเก่งวิชาการฝีมือ คุณครูจะให้นักเรียนทำอะไร ผมมักจะทำได้ดี จนกระทั่งคุณครูนำผลงานการประดิษฐ์ของผมไปแสดงโชว์ที่หน้าห้องครูใหญ่เสมอๆ
เช่น การปั้นสัตว์ ผมจะปั้นช้าง ปั้นควายแล้วทาสีได้สวยงาม หรือสร้างบ้านด้วยกระดาษ ตามแนวความคิดของผม จนคุณครูชมเชยว่า ทำได้สวยงาม เป็นเช่นนี้ตลอด
และวิชาที่ทำคะแนนได้ดีอีกวิชา คือ วิชาคัดไทย คะแนนจะเต็มทุกครั้ง เรียกว่า ของกล้วยๆ เลย
วิชาวาดเขียน ผมก็ทำคะแนนได้ดี
มีวิชาที่เก่ง ก็มีวิชาที่ทำให้ผมดูแย่มากๆ เลย ฝึกยังไงก็ไม่มีแววรุ่ง เป็นของขมอย่างแรงสำหรับผม คือ วิชาร้องเพลง คุณครูจะให้นักเรียนร้องเพลงหน้าชั้นคนละ 1 เพลง จนถึงทุกวันนี้ วิชานี้ผมก็ยังไม่ผ่าน ใครชวนผมร้องเพลงผมโกรธจริงๆ ด้วย
แต่ผมสะดวกที่จะฟัง และชอบฟังเพลงมาก มันทำให้มีความสบายใจและมีความสุข คลายเครียด
ผมเคยมีเรื่องไม่พอใจกับเพื่อนห้องใกล้เคียง เพราะชอบล้อเลียนผม จึงเกิดการท้าชกต่อยกันหลังโรงเรียน
เพื่อนคนนี้ ผมพอจะจำชื่อได้ว่า ชื่อ โสภณ นามสกุลนั้นจำไม่ได้แล้ว แต่ชื่อเล่นจำได้แม่น ไอ้ผอม
การชกต่อยกันก็ไม่มีใครแพ้ชนะ พอเจ็บๆ กัน ก็เลิกชก
ต่อมาภายหลังไอ้ผอมมาเป็นนักมวยได้ขึ้นเวทีชกมวยจริงๆ หลายครั้ง ใช้ชื่อในการชกมวยว่า กะล่อนทอง ศิษย์อินทรีย์ทอง
นั่นเป็นครั้งหนึ่งที่ชกต่อยกับเพื่อนในวัยเด็ก
ผมเรียนหนังสือชั้นประถมปลาย ผมก็เริ่มสะสมแสตมป์ตามแบบเพื่อนๆ บ้าง พยายามหาซองจดหมายที่ติดแสตมป์ แล้วเอาไปแช่น้ำ เพื่อลอกเอาแสตมป์ พอสะสมไปได้นานๆ ก็เริ่มมีมากขึ้น แสตมป์สวยๆ แปลกๆ ก็มีเพิ่มมาเรื่อยๆ
ผมเริ่มสนุก และสนใจหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในแสตมป์ ว่าเป็นมาอย่างไร
และบางครั้งควักเอาเงินที่เก็บสะสมเอาไว้ ไปซื้อแสตมป์ที่ออกมาใหม่ มาสะสมไว้ก็มี และเริ่มเข้าใจวันที่ออกแสตมป์เป็นวันแรก จะมีตราประทับ แสตมป์จะมีราคาแพงในอนาคต
ผมเคยได้แสตมป์ที่ใช้แล้ว และเป็นแสตมป์ดวงที่อยากได้มานาน มันถูกใจและดีใจ พอกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ก็รีบเอาแสตมป์ที่ได้ออกมาแล้วเอาขันสเตนเลส ไปตักน้ำใส่ เอาแสตมป์ที่ได้มาและยังติดอยู่ที่ซองจดหมายลงไปแช่ในขัน รอจนกว่าแสตมป์จะลอกหลุดออกมา ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
แต่วันนั้น แม่จะใช้ขันน้ำเพื่อปรุงอาหารพอดี เห็นมีกระดาษอยู่ในขัน แม่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็เอาน้ำในขันและแสตมป์เททิ้งลงไปในคลอง
ผมร้องไห้เสียใจมาก แม่ก็โกรธผม ตีผมอีก
มันเป็นประสบการณ์ในการสะสมแสตมป์ของเด็กๆ อย่างผม
เรื่องที่สำคัญมากๆ ที่เด็กๆ อย่างผมชื่นชอบมากที่สุด คือ การไปทัศนศึกษาตามสถานที่ต่างๆ ที่ทางโรงเรียนจัดไป โดยสถานที่ที่ไป พ่อกับแม่ผมคงไม่สามารถจะพาไปได้ มันเป็นการเปิดหูเปิดตาให้เด็กๆ มีโลกกว้างมากขึ้น
แต่เด็กนักเรียนต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยพ่อกับแม่ต้องจ่ายเงินให้ทางโรงเรียนคนละ 10 บาท ซึ่งนับว่าแพงมากสำหรับครอบครัวชาวบ้าน
คุณครูจะมีรายการพาเด็กนักเรียนไปเที่ยวสวนสัตว์ดุสิต ในกรุงเทพฯ ได้เห็นสัตว์แปลกๆ ที่ในชีวิตไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เช่น ยีราฟ สิงโต ฮิบโปโปเตมัส แรด ลิงอุรังอุตัง นกแปลกๆ ที่บ้านผมไม่มี อย่างนกกระจอกเทศตัวใหญ่มาก นกอีมู นกแก้วสีสันสวยงาม นกยูงเวลารำแพนขนหางจะกางแผ่ออกอย่างงดงาม ได้เห็นเสือโคร่ง ช้างตัวโตๆ ได้เห็นกวางตัวจริงๆ เหมือนอย่างในรูป อีเห็น อ่านชื่อก็งงๆ ทำไมเป็นอีเห็น นางอาย ตัวชะมด เม่นที่มีขนแหลมๆ รอบตัว
เด็กๆ จะตื่นเต้น ทั้งสนุกสนาน เที่ยวสวนสัตว์แล้วก็ไปต่อที่ท้องฟ้าจำลอง พอเข้าไป มันมืดมาก จากกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนทันที แล้วพอมองขึ้นไปเห็นดวงดาวมากมายเต็มท้องฟ้า เหมือนบ้านผมในตอนกลางคืนเลย
แล้วมีวิทยากรพูดบรรยายว่า ดาวต่างๆ ที่ปรากฏในฟากฟ้ายามค่ำคืน ทางดาราศาสตร์เขาเรียกดาวดวงนี้ว่าอะไร หมู่ดาวกลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่มดาวอะไร ผมได้เห็นได้ฟังตาค้างไปเลย เพราะบรรยากาศมันเหมือนยามกลางคืนจริงๆ และท้องฟ้าในท้องฟ้าจำลองมันเคลื่อนไหวได้ด้วย แถมแนวขอบฟ้ารอบตัวเรายังมีเงามืดดำๆ ของอาคารต่างๆ เป็นฉากหลัง
ที่ผมจำได้คือ อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก ที่ขี่ม้าและชูดาบ ผมจำได้ เพราะเคยผ่านวงเวียนใหญ่
ผมรู้จักชื่อดาวในระบบสุริยะของเรา เห็นดาวพฤหัสฯ ที่มีวงแหวนล้อมรอบและสวยงาม ดาวอีกดวงที่ผมจำได้คือ ดาวศุกร์ ถ้าตอนหัวค่ำจะขึ้นที่ด้านทิศตะวันตก เรียกว่า ดาวประจำเมือง หรือดาวประกายพรึก ถ้าตอนหัวรุ่งหรือตอนเช้ามืด จะขึ้นทางด้านทิศตะวันออก เรียก ดาวรุ่ง ดาวดวงนี้เห็นได้ด้วยตาเปล่า
แถวบ้านผมก็มองเห็น แต่กลุ่มดาวมีเยอะมากจนผมจำไม่ได้แล้ว
เด็กบ้านนอกอย่างผมคงอาศัยการทัศนศึกษาที่โรงเรียนจัดขึ้น แล้วพาไปชมสถานที่ต่างๆ เป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะได้ไปไกลจากบ้าน โรงเรียน หรือตลาดที่คุ้นเคย และต่อเนื่องไปจนถึงระดับชั้นมัธยมต้นเลย ได้ไปเที่ยวไกลถึงเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งถือว่าเป็นรัศมีการเที่ยวที่ไกลที่สุดของวัยในเวลานั้นเลย
ถึงแม้จังหวัดสมุทรสาครจะอยู่ติดทะเล แต่อำเภอกระทุ่มแบนนั้นไม่ได้ติดทะเล และไม่มีภูเขา ไม่มีป่า แต่เมื่อดูหนัง เห็นทะเล มีชายหาดที่สวยงาม มีคลื่นซัดเข้าชายหาด บางแห่งเป็นป่าเขา มีภูเขาสลับซับซ้อน มีทุ่งหญ้าที่โล่งกว้างไกล เป็นเนิน ขึ้นๆ ลงๆ มีหญ้านุ่มๆ สีเขียว น่าวิ่งเล่น หรือนอนกลิ้งให้สบาย
สิ่งเหล่านี้ผมได้เห็นเฉพาะเมื่อเวลาดูหนังเท่านั้น ในชีวิตจริงไม่เคยเห็นเลย ได้แต่จินตนาการ นึกวาดภาพในใจเอา ว่าของจริงจะเป็นอย่างไร
จนกระทั่งได้ไปทัศนศึกษา ฝันจึงเป็นจริง ได้เห็นภูเขาที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นครั้งแรก
และได้เข้าป่า ก็เมื่อเข้าเรียนที่สามพราน มีการฝึกภาคสนามประจำปี ทั้งที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา หรือที่ อ.ฝาง จ.ดเชียงใหม่ ว่าสภาพความเป็นป่าที่แท้จริงเป็นอย่างไร หรือเมื่อมีคดีในป่าจะต้องลุยเข้าไป
มันต่างจากฝันในวัยเด็กเลย
เรื่องที่สำคัญและมีความหมายต่อชีวิตความเป็นนักเรียน ที่ทำให้สามารถเรียนต่อไปได้เรื่อยๆ โดยพ่อแม่ไม่ต้องเป็นภาระที่หนักจนเกินไป คือ มีพี่ หรือญาติๆ ใกล้ชิด เมื่อขึ้นชั้นเรียนที่สูงขึ้นไป ก็สามารถเอาหนังสือที่ใช้ในชั้นเดิม ส่งมอบให้รุ่นน้องไปใช้ต่อได้ โดยไม่ต้องซื้อใหม่
บางปี ผมไม่ต้องซื้อหนังสือใหม่เลย แค่ซื้อสมุด อุปกรณ์การเขียน หรือเสื้อผ้านักเรียนเท่านั้น หนังสือก็ใช้ของพี่ นับว่าประหยัดเงินได้มาก
เมื่อผมมาเรียนต่อชั้นมัธยมแล้ว พี่ๆ ของผมต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำสวนกันหมด ผมยังได้รับหนังสือเรียนเก่าๆ จากญาติที่เป็นลูกของป้า พี่สาวของพ่อ โดยป้าจะหอบเอามาให้ทุกปี
พี่ชายซึ่งเป็นลูกของป้าผม เรียนชั้นมัธยมโรงเรียนเดียวกับผม และเรียนหนังสือเก่งมาก สอบได้ที่ 1 ทุกครั้ง จนจบ ม.ศ.5 ด้วยคะแนนที่ยอดเยี่ยม 85 เปอร์เซ็นต์ และมีชื่อติดบอร์ดของประเทศไทยสำหรับนักเรียนที่จบชั้น ม.ศ.5 ที่ใครได้คะแนนเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจะมีชื่อประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกคน
และพี่ชายคนนี้ ยังสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนจบก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1
พี่คนนี้เป็นตัวจุดความฝันให้ผมได้เรียนหนังสือให้ได้ และเป็นความภาคภูมิใจในหมู่ญาติ รวมทั้งผมเองด้วย
ผมได้ใช้หนังสือของพี่คนนี้ แต่ผมแทบไม่ได้เจอพี่เขาเลย ผมเลยไม่รู้วิธีเรียนหนังสือให้เก่งต้องทำอย่างไร
ชีวิตการเรียนของผมตั้งแต่เด็กเล็กจนโต ผมจะติดนิสัยไม่ขยันอ่านหนังสือเรียน ชอบฟังครูสอนในห้องเรียนเท่านั้นแล้วจดตามที่ครูสอน ใช้ความจำความเข้าใจว่า ครูสอนอะไร เมื่อกลับบ้านหลังเลิกเรียนผมแทบไม่เคยอ่านทบทวนบทเรียนที่เรียนมาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลย
ปกติผมจะไม่ขาดเรียน จะเข้าเรียนตลอด และทำการบ้านส่งครู ไม่เคยเสียหายในเรื่องการบ้านเลย
พอใกล้สอบ ผมจึงมาอ่านหนังสือก่อนสอบเท่านั้น บางครั้งก็อ่านหนังสือไม่ทัน
หากผมขยันทบทวนบทเรียนตลอดสม่ำเสมอ ผมน่าจะเรียนได้ดีกว่านี้
ลักษณะนิสัยการเรียนแบบนี้ก็ยังติดมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งผมควรกลับมาทบทวน และฝึกซ้อมทำแบบฝึกหัดให้มากๆ จะเข้าใจได้มากขึ้น บางอย่างที่ว่ายาก อาจจะไม่ยากเกินไปก็ได้
ผมอยากจะพูดตรงๆ ว่า เมื่อสมัยที่เป็นนักเรียน ผมจะห่วงเล่น หรือทำงานในสวน เสียเวลาไปกับการวาดรูป หรืออ่านหนังสือกีฬา หนังสือชัยพฤกษ์ เสียมากกว่า การห่วงอ่านหนังสือเรียน คือ แทบจะไม่บังคับตัวเองให้มากกว่านี้ ตามใจตัวเองมากเกินไป
แต่เมื่อผมทำงานเป็นตำรวจแล้ว ผมสามารถบังคับตัวเองได้
และยอมทุ่มเทให้กับการทำงานตลอดชีวิตของการเป็นตำรวจเลยทีเดียว ต่างจากการเป็นเด็ก คนละคนกันเลย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022