ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
เผยแพร่ |
41 ปีแห่งการเคลื่อนไหว (ตอน 6) โลกแห่งความหวังของฝ่ายขวา
“ลูกไทยห้าวหาญ สู้เผด็จการทารุณไม่เคยหวั่น
เผด็จการประหารชีวัน ศรัทธายังมั่นเสมอจนสิ้นใจ”
เพลงวีรชนปฏิวัติ
จิตร ภูมิศักดิ์
สถานการณ์ทางการเมืองจากต้นปี 2519 เป็นดัง “การประลองกำลัง” ระหว่างกลุ่มการเมืองสองปีกในการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัด
แต่ที่เห็นได้ชัดกว่าก็คือการขับเคลื่อนของพลังฝ่ายขวาจัด
ในแต่ละเดือนมีเหตุที่แสดงให้เห็นถึงการเดินหน้าอย่างรุนแรงของพลัง “ขวาพิฆาตซ้าย”
ถ้าจะทดลองเรียงลำดับเหตุการณ์แล้วก็แทบจะบ่งบอกถึงทิศทางของอนาคตการเมืองไทยอย่างที่ไม่ต้องการคำตอบใดๆ ทังสิ้น
กระแสแห่งความรุนแรง
เหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2519 หากนำมาจัดเรียงโดยสังเขป มีดังนี้
กุมภาพันธ์ 2519
– นายอมเรศ ไชยสะอาด ผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่วัดด่านนอก อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา พวกเราที่เป็นกรรมการ ศนท. ตกใจกันอย่างมากกับการสังหารที่เกิดขึ้น
– ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ถูกลอบยิงขณะขับรถกลับบ้าน การลอบสังหารครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนในการกวาดล้างปีกสังคมนิยมในเมือง
มีนาคม 2519
– การวางระเบิดโรงเรียนช่างกลพระรามหก ซึ่งเป็นโรงเรียนช่างกลที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับศูนย์นิสิตฯ มาตลอด มีผู้เสียชีวิต 5 คน พวกปีกขวาเริ่มบั่นทอนแนวร่วมของศูนย์แล้ว
– การบุกล้อมจับกรรมกรหญิงที่โรงงานฮารา ที่ตรอกจันทร์ การประท้วงยืดเยื้อมากกว่า 6 เดือน
– การเคลื่อนไหวต่อต้านฐานทัพสหรัฐ อันเป็นผลจากการครบกำหนดเวลาที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ประกาศไว้ และถูกปาระเบิดที่สยามสแควร์ มีผู้เสียชีวิต 4 คน การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่การขู่อีกต่อไป เพราะเป็นการกระทำที่มุ่งหวังเอาชีวิตโดยตรง และฐานทัพสหรัฐเป็นหลักประกันความมั่นคงไทยที่สำคัญ
มิถุนายน 2519
– พระกิตติวุฒโฑภิกขุ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์จัตุรัสด้วยวาทกรรมต่อต้านคอมมิวนิสต์ว่า “การฆ่าคนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือเป็นบุญกุศลเหมือนฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ”
กรกฎาคม 2519
– ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้เลือกกรรมการชุดใหม่ และเปิดเวทีในการพบกับประชาชนที่ท้องสนามหลวง แต่ก็ถูกก่อกวนด้วยการปาวัตถุของแข็งจนมีผู้ร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายคน และขณะเดียวกัน เลขาธิการ ศนท. คนใหม่ สุธรรม แสงประทุม ได้ประกาศว่า
“กรรมการศูนย์นิสิตชุดนี้อาจจะเป็นกรรมการชุดสุดท้าย”…พวกเรารู้สึกกันเช่นนั้นจริงๆ
– ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน กลุ่มนักเรียนอาชีวะปีกขวาก็บุกเข้าปิดล้อมที่ทำการศูนย์นิสิตฯ และขณะเดียวกัน สุธรรมได้เล่าในเวลาต่อมาว่ามีการติดต่อให้กรรมการ ศนท. เดินทางออกนอกประเทศ เพราะจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สิงหาคม 2519
– จอมพลถนอมส่งคำขอขอเดินทางกลับเข้าประเทศไทย เสียงในคณะรัฐมนตรีแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยอมที่จะให้จอมพลถนอมอยู่ได้ แต่อีกฝ่ายกลัวว่าจะกลายเป็นเงื่อนไขบานปลายสู่ความรุนแรง
– ในขณะที่มีข่าวลือว่าจอมพลถนอมจะเดินทางกลับเข้าไทยนั้น จอมพลประภาสก็เดินทางกลับเข้ามาในไทยก่อน และมีการต่อต้านขนาดใหญ่ขึ้น จนต้องยอมเดินทางออกไป
กันยายน 2519
– หลังจากเป็นข่าวลือมาระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดแล้ว จอมพลถนอมก็เดินทางกลับประเทศไทยด้วยการบวช และนำไปสู่การชุมนุมประท้วงใหญ่ และสถานีวิทยุยานเกราะเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับประชาชนผู้เห็นต่างด้วยมาตรการเด็ดขาด
– พนักงานการไฟฟ้าของการไฟฟ้าจังหวัดนครปฐม 2 คนคือ วิชัย เกษศรีพงษา และ ชุมพร ทุมไมย ถูกจับแขวนคอ ซึ่งมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าการสังหารครั้งนี้เป็นผลงานของเจ้าหน้าที่
– ศนท. เริ่มเปิดเวทีการประท้วงการเข้ามาของจอมพลถนอม พร้อมกับการเปิดเวทีในต่างจังหวัด
ตุลาคม 2519
– กลุ่มนวพลประกาศรวมพลด้วยการเดินทางมาที่วัดพระแก้ว แล้วเปิดเวทีที่บริเวณสนามไชยพร้อมกับอภิปรายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง
– ศนท. เข้าพบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้ผลักดันจอมพลถนอมออกจากประเทศไทย พร้อมกับจัดการชุมนุมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้น
– ศนท. ตัดสินใจย้ายเวทีการชุมนุมเข้าสู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมกับประกาศว่าการชุมนุมจะยุติเมื่อพระถนอมเดินทางออกจากประเทศ
– สถานการณ์ทางการเมืองทวีความตึงเครียดมากขึ้น ขณะเดียวกันสื่อฝ่ายขวาก็โฆษณาโจมตี ศนท. และต่อต้านคอมมิวนิสต์รุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นสัญญาณของความรุนแรงที่ชัดเจน
กระแสแห่งความกลัว
จากลำดับอย่างสังเขปของเหตุการณ์ความรุนแรงในข้างต้น จนถึงการตัดสินใจของผู้นำนักศึกษาที่จะย้ายเวทีการชุมนุมเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 4 ตุลาคม แล้ว สถานการณ์เริ่มบ่งบอกถึงการเข้าใกล้ “จุดแตกหัก” มากขึ้น
เพราะหากย้อนกลับไปจะเห็นถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มขวาจัดนับจากการยอมถอยในเรื่องฐานทัพในเดือนมีนาคม และยอมถอยอีกครั้งที่จอมพลประภาสจะต้องกลับออกจากประเทศในเดือนสิงหาคม แต่การเปิด “เกมรุก” ด้วยการพา “สามเณรถนอม” กลับเข้ามาและขอบวชเป็นพระกลายเป็นเกมใหม่อย่างคาดไม่ถึง
เกมการเมืองอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดเริ่มบ่งบอกชัดเจนมากขึ้นว่า กลุ่มขวาจัดอาจจะไม่ยอมถอยเหมือนเช่นในครั้งก่อนๆ ในสายตาของผู้นำปีกขวาบางส่วนนั้น พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาถอยมากแล้ว และเริ่มตัดสินใจว่าพวกเขาจะไม่ยอมถอยอีกนับจากนี้
อีกทั้งสัญญาณของการ “กวาดล้าง” ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน
คำสัมภาษณ์ของพระภิกษุปีกขวามีความชัดเจนในตัวเอง และไม่ต้องการการตีความใดๆ ทั้งสิ้น
คำสัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณถึงบรรดาปีกขวาที่ยังคงรีรออยู่กับความกลัวว่า ถ้าใช้ความรุนแรงจัดการกับกลุ่มปีกซ้ายแล้ว การกระทำดังกล่าวจะเป็น “บาป” ในทางศาสนาหรือไม่…
คำตอบว่าการฆ่าเป็น “เสมือนกับการทำบุญ” เป็นการสร้างวาทกรรมรองรับต่อความชอบธรรมทางจิตใจที่พวกปีกขวาบางส่วนต้องการได้ยินเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าพวกเขา “ไม่ได้ทำบาป”
ขณะเดียวกัน สัญญาณจากวิทยุยานเกราะก็บ่งบอกว่า ถึงเวลาที่จะต้องจัดการแล้ว แม้จะต้อง “ฆ่า” ผู้คนบางส่วน แต่ก็เป็นดังการ “ฆ่าส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่”
หรือในอีกด้านหนึ่งก็เป็นเสมือนกับ “การเชือดไก่ให้ลิงดู” เพื่อส่งสัญญาณถึงผู้คนอีกส่วนที่อาจจะอยู่ในภาวะของการชั่งใจว่าจะเอียงไปในทิศทางใดในทางการเมือง
หรือเป็นสัญญาณถึงบรรดาฝ่ายซ้ายทั้งหลายว่าพวกเขาจะได้รับผลตอบแทนอย่างไรกับการพาใจออกห่างจากอุดมการณ์หลักของรัฐ
เพราะเป็นที่รับรู้กันเสมอว่ารัฐที่อยู่ภายใต้การควบคุมทางอุดมการณ์ของกลุ่มขวาจัดนั้น ไม่เคยเลยที่จะยอมให้มีผู้คนที่เห็นต่างและไม่ยอมเดินไปในทิศทางเดียวกับอุดมการณ์และความเชื่อทางการเมืองของพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ
ยิ่งในยุคที่พวกเขาถูกท้าทายอย่างมากจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งหลายจากรอบบ้านและจากภายในบ้านของตัวเองด้วยแล้ว การจะยอมรับกับสภาวะเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
และยิ่งวันเวลาเดินทางมาถึงกลางปี 2519 แล้ว ก็ยิ่งจะต้องตัดสินใจเข้าควบคุมทางการเมืองให้ได้
เพราะการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ก็จะยิ่งทำให้การควบคุมดังกล่าวเป็นไปได้ยากมากขึ้น… เวลาและสถานการณ์กลายเป็นตัวเร่งที่พวกเขาจะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ยิ่งวันเวลาล่วงเลยไปก็ยิ่งเป็นแรงกดดันในตัวเองด้วย
ในสภาวะเช่นนี้ยังถูกผนวกเข้ากับปัจจัยสำคัญที่ละเลยไม่ได้ก็คือ ปัญหา “ความกลัว” ของชนชั้นนำปีกขวา ผู้นำทหารหัวเก่า และกลุ่มขวาจัดทั้งหลายที่กังวลอย่างมากกับอนาคตของประเทศไทย
เพราะหลังจากการล้มลงของสามโดมิโนในอินโดจีนในปี 2518 แล้ว พวกเขาตระหนักด้วยความกลัวอย่างไม่คลายจากความแคลงใจว่า โดมิโนอาจจะล้มลงที่กรุงเทพฯ ได้
และการจะป้องกันไม่ให้โดมิโนตัวที่ 4 ล้มก็คือ จะต้องจัดการกับการขยายตัวของสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น “ภัยคุกคามภายใน” ให้ได้
และภัยคุกคามนี้มีขบวนนักศึกษาประชาชนเป็นตัวแทน
อีกทั้งในทัศนะของผู้นำปีกขวาจัดทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่าขบวนนี้เป็น “ตัวแทน” ในสงครามของพวกคอมมิวนิสต์จากประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นเอง
จินตนาการชุดนี้จะเกิดขึ้นจากข้อมูลการข่าวที่ถูกสร้างขึ้นจาก “จินตนาการ” ของความกลัวคอมมิวนิสต์ หรือถูกประกอบสร้างจาก “วาทกรรม” ของการต่อต้านคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นแกนหลักของนโยบายการเมืองและความมั่นคงไทยมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความใกล้ชิดในความเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่างไทยกับสหรัฐ ตั้งแต่ยุคสงครามเย็นโดยมีสงครามเกาหลีเป็นจุดเริ่มต้นนั้น ผู้นำไทยรับเอาชุดความคิดแบบนิยมตะวันตกและต่อต้านคอมมิวนิสต์เข้ามาเป็น “กระแสหลัก” ในนโยบายของประเทศอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สภาพเช่นนี้ทำให้ผู้นำไทยรับเอา “จินตนาการและวาทกรรม” ของทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) ที่ผู้นำสหรัฐได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ยุคสงครามเดียนเบียนฟูไว้เป็นวาทกรรมของความกลัว
ดังนั้น การล้มลงของโดมิโนในอินโดจีนในปี 2518 จึงเป็นดัง “ฝันร้าย” ที่ผู้นำไทยหวาดกลัวมาตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์การเมืองในภูมิภาค
ฉะนั้น พวกเขาจะต้องหยุดเหตุการณ์เพื่อที่จะทำให้ฝันร้ายนี้ไม่เป็นจริงให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
กระแสแห่งการทำลายล้าง
ในวันที่ 4 ตุลาคม 2519 ได้มีการจัดชุมนุมต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอมที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และในการนี้ ชมรมนาฏศิลป์และการละครได้จัดทำละครล้อเลียนการเมืองขึ้น
แต่การล้อครั้งนี้เป็นในรูปแบบของการ “แขวนคอ” โดยจำลองภาพการที่พนักงานการไฟฟ้านครปฐมถูกฆ่าแขวนคอ เพราะเป็นเหตุการณ์โหดร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นจากการกลับเข้ามาของจอมพลถนอมในครั้งนี้
การจัดแสดงการแขวนคอครั้งนี้เกิดขึ้นต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมากที่ลานโพธิ์ และขณะเดียวกันก็มีสื่อมวลชนหลายฉบับอยู่ในที่เกิดเหตุ
ฉะนั้น หากจะเกิดความผิดพลาดใดขึ้นก็ย่อมจะอยู่ในสายตาของสาธารณชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอระยะเวลาเนิ่นนานออกไปแต่อย่างใด
ใครเลยจะคิดว่าการจัดล้อการแขวนคอครั้งนี้จะเป็น “จุดพลิกผัน” ของเหตุการณ์ทั้งหมด
แต่เมื่อมีการปลุกระดมด้วยการใส่ร้ายป้ายสีการแสดงที่เกิดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในกระแสขวาจัดอย่าง “ดาวสยาม”
และสำทับด้วยหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในกรุงเทพฯ อย่าง “บางกอกโพสต์” แล้ว สถานการณ์ดูจะเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เพราะพอล่วงเข้าวันที่ 5 ตุลาคม การปลุกระดมโจมตีศูนย์นิสิตก็เป็นไปอย่างรุนแรง
สถานีวิทยุยานเกราะเปิด “ปฏิบัติการข่าวสาร” ด้วยการป้ายสี ศนท. ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยถ้อยคำรุนแรงต่างๆ
และที่สำคัญก็คือ สถานีวิทยุแห่งนี้เรียกร้องให้จัดการ ศนท. กับผู้คนที่เข้าร่วมการชุมนุมด้วยมาตรการ “เด็ดขาด”…สถานการณ์น่ากลัวมากขึ้นจนพวกเราทุกคนรู้สึกได้
แม้พวกเราจะคุ้นเคยกับการถูกใส่ร้ายป้ายสีของสื่อขวาจัด แต่ผมเริ่มรู้สึกว่าการป้ายสีครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง
มีคนเอาหนังสือพิมพ์ดาวสยามมาให้ดู แล้วก็มีพวกเราบางคนมาสรุปให้ฟังว่าสถานีวิทยุยานเกราะกำลัง “ด่า” อะไรพวกเรา
ผมรู้สึกอย่างมากว่าเรากำลังเผชิญกับการต่อต้านของกระแสขวาจัดครั้งใหญ่
และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังปลุกระดมเพื่อดำเนินการอะไรสักอย่าง
แต่ขณะเดียวกัน การชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็เป็นไปอย่างเข้มแข็ง จนต้องย้ายสถานที่การชุมนุมจากลานโพธิ์มายังสนามฟุตบอล เพราะมีคนเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก
และลานโพธิ์ก็ดูจะคับแคบไปกับจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้น
จำนวนผู้เข้าร่วมดูจะเป็นปัจจัยบวกประการเดียวที่เรามีอยู่ในขณะนั้น!