วิถีตั๊กแตน ชลดา ‘น้ำตาไหล ก็ยกมือปาดน้ำตาซะ’ แล้วลุกขึ้นมายิ้มต่อ’

รายงานพิเศษ

 

วิถีตั๊กแตน ชลดา

‘น้ำตาไหล ก็ยกมือปาดน้ำตาซะ’

แล้วลุกขึ้นมายิ้มต่อ’

 

ทํางานเป็นนักร้องมานานถึง 19 ปี ขึ้นเวทีร้องเพลงมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากตั๊กแตน ชลดา ทองจุลกลาง ก็ว่าแต่ละครั้งที่อยู่ ‘บนนั้น’ ก็ได้เจออะไรใหม่ๆ อะไรที่บางครั้งก็คาดคิดไม่ถึงตลอดๆ

อย่างล่าสุดเมื่อไม่นานนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้ชมคอนเสิร์ตท่านหนึ่ง ยกโทรศัพท์มือถือมาจ้อง มุ่งมั่นจะ ‘ถ่ายเป้า’ ซึ่ง “เราไม่โอเคกับการกระทำนี้” ตั๊กแตนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แต่ถึงกระนั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในห้วงเวลาดังกล่าว คือคว้าโทรศัพท์ของเขามาเก็บไว้ แล้วแสดงต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ที่เจอบ่อยคือ คนที่อาจจะเมา แล้วจับมือ ดึงแรงไปหน่อย จนบางครั้งเกือบตกเวทีก็มี แต่เขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจ”

หากครั้งนี้มันไม่ใช่

“แต่เราก็เลือกที่จะไม่พูดบนเวทีให้คนอื่นได้ยิน เพราะถ้าเราหยุด หรือต่อว่าเขา มันก็เสียบรรยากาศการเอนเตอร์เทนในค่ำคืนนั้น”

นักร้องคนดังยังบอกด้วยว่า ถ้าดูแต่ภาพเบื้องหน้าของการแสดงคอนเสิร์ต คนทั่วไปอาจมองเห็นแค่แสง สี เสียง อันสดใส และความสนุกที่เหล่านักร้อง นักดนตรี และแดนเซอร์ เตรียมเอาไว้ให้ แต่เบื้องหลังของต่างๆ นานาเหล่านั้นประกอบไปด้วยหลายอย่าง จากตัวนักร้อง และเหล่าทีมงาน

“อยู่บนนั้นไหวพริบต้องดี มันไม่ใช่แค่การร้องเพลงแล้วจบๆ เราต้องเอนเตอร์เทนคนดูให้มีความสุข ต้องทำยังไงให้เสียงได้ 100% ตามที่เขาได้ฟังในแผ่นเทป ร้องเพลงเร็วก็ต้องเต้น เพราะถ้าไม่เต้น ไม่อะไรเลย ก็เปิดเพลงฟังอยู่บ้านได้ อะไรอย่างนี้”

“แล้วสมาธิต้องสูงค่ะ หนึ่ง ต้องจำเนื้อเพลง สอง จังหวะต้องแม่น สาม ต้องเอนเตอร์เทนคนดู หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็ต้องระวังตัว เพราะทุกเวทีสถานการณ์ไม่เหมือนกัน บางเวทีเจ้าภาพไม่ได้มีงบฯ สูง เวทีก็อาจจะไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ เราก็ต้องรู้จักที่จะระวัง บางครั้งบันไดหัก หรือกระดานมีร่อง มีรู ก็ต้องคอยสังเกต แต่เราไม่สามารถที่จะไปบอกคนดู หรือเจ้าภาพได้ ว่าเราเครียด หรือเรากลัวตรงนั้น ตรงนี้ ก็เซฟด้วยวิธีของตัวเอง”

ความเป็นนักร้องมานาน ตั๊กแตนยอมรับว่า บางครั้งเธอก็มีความรู้สึกเหนื่อยๆ ท้อๆ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากคนสายอาชีพอื่น

“ทุกคนน่าจะมีฟีลเกี่ยวกับงาน ที่บางทีก็เหนื่อยจังเลย ท้อจังเลย แต่มันคือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ก็ต้องทำต่อไปจนกว่าเราจะไม่ไหว”

เธอยังเล่าด้วยว่ากว่าชีวิตมีวันนี้ เธอต้องต่อสู้ อดทน และฝันฝ่ามาไม่ใช่น้อย

“อาจเพราะชีวิตไม่ได้เรียบหรูมาตั้งแต่เด็กมั้งคะ ที่บ้านยากจน ไม่ได้มีคนที่จะซัพพอร์ต สมมุติว่าเราเสียใจ ร้องไห้ เราก็ต้องลุกขึ้นมาอยู่ดี จะมากระเสาะกระแสะ นอนน้ำตาไหลอยู่ มันก็ไม่ใช่”

“น้ำตาไหล ก็ยกมือปาดน้ำตาซะ แล้วลุกขึ้นมายิ้มต่อ”

“แตนทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่ ตั้งแต่อายุ 15-16 ที่บ้านยากจนมาก ไม่มีอะไรจะกิน หันหน้าไปหาใครก็ไม่ได้ แล้วเมื่อก่อนเราจน คนก็ดูถูก”

“แต่ก็ต้องขอบคุณความยากจนนะ ที่มันพาให้เราแข็งแรง แข็งแกร่ง คือแรงผลักดันให้เราต่อสู้ การที่เราจนมาก่อน แตนว่ามันดีกว่าเป็นคนรวยมาก่อน แล้วไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรน ไม่ได้รู้จักคุณค่าของชีวิต”

“ขอบคุณความลำบากยากเข็ญ ขอบคุณแรงขับเคลื่อนจากการดูถูกของคนอื่น ที่ทำให้เราดิ้นรน ไม่งอมืองอเท้า”

อย่างไรก็ดี เธอรับว่า ความรู้สึกขอบคุณดังกล่าวเพิ่งจะโผล่มาตอนที่ลืมตาอ้าปากได้แล้ว

สำหรับเธอเอง ในวันนี้ “ก็พอมีค่ะ อาจจะไม่ได้รวยจนล้น แต่ไม่ได้ลำบากเหมือนเดิม ไม่ข้นแค้นระดับเดิม”

“พอมีอยู่ มีกิน มันก็มีความสุข ชีวิตคนเราน่ะ ไม่ต้องโอ้โห…รวยซะจนใช้เงินไม่หมด ไม่ต้องขนาดนั้น เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้ แค่กินอะไรที่เราอยากกินได้ คนเรามันก็กินแค่อิ่มน่ะ คุณมีหมื่นล้าน แสนล้าน ก็กินแค่อิ่ม ไม่สามารถยัดเข้าไปมื้อหนึ่งหมื่นล้าน แสนล้าน ไม่สามารถ”

นอกเหนือจากการตั้งใจทำงานในวงการให้ดี ตั๊กแตนบอกว่าตอนนี้เธอยังเริ่มวางรากฐานงานสวน โดยได้ไปปลูกต้นไม้ไว้ที่บ้านต่างจังหวัด

“เพราะว่าชีวิตสุดท้ายก็อยากอยู่กับธรรมชาติ”

“จริงๆ เป็นคนชอบความเรียบง่าย ไม่ได้ชอบความหรูหราเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างที่ซื้อแบรนด์เนม ประปราย กระป๋งกระเป๋า ชอบอย่างหนึ่งคือมันทนดี แต่ไม่ได้ชอบความหนัก พูดกันตามจริงก็ไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่ลองซื้อดูสิ ไอ้ของแพงๆ มันเป็นยังไงวะ” เล่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะ

 

ในด้านชีวิตส่วนตัว ชีวิตคู่ ตั๊กแตนบอกว่า อาจมีคนมองว่าเธอไม่ประสบความสำเร็จ “แต่ถามว่าชีวิตขาดไหม ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดความอบอุ่นหรืออะไร”

“แตนว่าทุกชีวิตมันก็มีเปรี้ยว มีขม มีหวาน ก็เป็นรสชาติของชีวิตค่ะ”

“แตนไม่ได้ขาดอะไรเลย ทุกอย่างมันเติมเต็มมาตั้งแต่การใช้ชีวิตแล้ว มองว่าชีวิตมันจะสมบูรณ์แบบได้ เราก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะ รู้จักร้อน รู้จักหนาว รู้จักเจ็บปวด เสียใจ ร้องไห้ ยิ้ม มีความสุข”

ซึ่งเธอเจอมาครบ

“รู้สึกว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้แล้ว นอกจากเราทำร้ายตัวเอง การที่เราถูกโกง หรือถูกใครทำร้ายจิตใจมา มันไม่มีใครทำได้ ถ้าเราไม่อนุญาตให้เขาเข้ามาในชีวิต นอกจากการโดนปล้น ฆ่า นั่นอีกเรื่อง แต่ที่โดนโกงก็เพราะเราอยากไปทำกับเขาเอง ไม่ใช่เขาเอาปืนมาจ่อหัว ถ้าไม่ทำ จะมายิงหัว มันก็ไม่ใช่”

“การผิดหวังในเรื่องครอบครัวก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ตัดสินใจใช้ชีวิตกับใครสักคน มันก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป เราก็ต้องเรียนรู้ ต้องเติบโตไปเรื่อยๆ”

“สมัยก่อนเรายังเด็ก รู้สึกเฮิร์ตมันก็ระเบิดอ่ะ ตอนนี้ถามว่าเสียใจไหม ถ้าเจออีก มันก็คงเสียใจ แต่คงไม่ฟูมฟายเหมือนสมัยก่อน เพราะว่าเราผ่านมาแล้ว ถ้าเราจะไปตกหลุมเดิมๆ เราก็ต้องยอมรับตัวเองหรือเปล่า ก็แสดงว่าเราโง่แล้วแหละ”

“แล้วแตนว่าแตนโชคดี ที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสตลอด โชคดีที่เป็นเลือดนักสู้ คือจิตใจแตนมันเข้มแข็งมาก มากกว่าหิน มากกว่าใดๆ เป็นอะไรก็ลุกขึ้นมาสู้ ก็ต้องขอบคุณตัวเองตรงนี้ ที่ทำให้เราก้าวต่อไปได้ ที่ไม่เอาความอ่อนแอมาบังหน้า แล้วก็บอกว่าฉันไม่ไหว ฉันไม่สู้แล้ว คือถ้าเรามัวแต่คิดแบบนี้ มันก็ไม่ไปไหน ก็จะจมปลักอยู่ตรงนั้น”

 

ครั้นถามถึงความสุขวันนี้ ตั๊กแตนบอกทันที “การกินค่ะ” จากนั้นก็หัวเราะร่วน

“เพราะสมัยก่อน เรากินข้าวคลุกน้ำมันพืชที่ทอดไข่เจียวแล้ว คือไม่มีไข่นะคะ มีแต่น้ำมันไปคลุกข้าวกิน เอาพริกป่นโรย บีบมะนาว โอ้โห มันอร่อยมาก ตอนเด็กไม่ได้รู้สึกว่าขาดเลย ดันมาอร่อยกับเรื่องแบบนี้ งงเหมือนกัน”

“ทุกวันนี้น่าจะเป็นความสุขที่สุดแล้ว เรื่องกินนี่”

“เรื่องร้องเพลงก็ยังแฮปปี้ แต่อนาคตวันไหน ถ้าเหนื่อยแล้ว อยากจะพัก ก็คงไปใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ”