33 ปี ชีวิตสีกากี (6) | เกลียดตำรวจ แต่ที่สุดต้องเป็นตำรวจ

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้น ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ถือเป็นผู้นำของหมู่บ้าน ชื่อ ผู้ใหญ่ณรงค์ วชิรปัทมา หรือผู้ใหญ่เหล็ง เป็นญาติทางฝ่ายพ่อผม จะนำเรื่องต่างๆ จากทางราชการ ไม่ว่าอำเภอ หรือจังหวัด มาบอกลูกบ้านและบริเวณสถานที่สำคัญของหมู่บ้าน คือโรงเจฮะหน่ำตั้ว ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองภาษีเจริญ

ภายหลังต้องย้ายมาอยู่ใกล้บ้านผม ถนนกลาง เนื่องจากทหารสื่อสารมาสร้างค่ายที่ใหญ่โตมากกินพื้นที่ของชาวบ้านไปไม่รู้เท่าไหร่ ชาวบ้านต้องย้ายออกจากพื้นที่ทั้งๆ ที่อยู่กันมานาน

แถวบ้านผมจะเรียกค่ายทหารนี้สั้นๆ ว่า แคมป์

สำหรับโรงเจ จะเป็นสถานที่ที่คนในหมู่บ้านจะมาถือศีลกินเจกันทุกปี เป็นเวลา 10 วัน ช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม เป็นที่ชุมนุมของคนในหมู่บ้านที่จะมาพบปะพูดคุยกัน

ผู้ใหญ่เหล็ง ถือเป็นผู้นำและตัวแทนของคนในหมู่บ้าน นอกจากนั้น ร้านกาแฟทั้ง 2 ร้านที่ตั้งอยู่กลางคลองก็เป็นที่พบปะของคนในชุมชน

เช้าๆ คนในหมู่บ้านจะมานั่งกินกาแฟร้อนๆ ก่อนออกไปทำงาน กลางคืนก็พากันมาดูโทรทัศน์

 

บ้านพ่อแม่ของผม จะเลี้ยงหมูมาตลอด มีแม่หมูคลอดลูกออกมาเป็นคอกๆ บางครั้งคอกละเกือบ 10 ตัว เลี้ยงตั้งแต่เป็นลูกหมูจนโต ด้วยรำข้าวผสมกับสาหร่าย แหน หรือผักตบชวา สลับกับต้มปลายข้าวเป็นกระทะๆ ให้หมูกิน หรือบางครั้งก็เอาต้นกล้วยมาหั่นเป็นหยวกกล้วยตำๆ แล้วผสมกับรำข้าว การเลี้ยงจึงใช้เวลานานเกือบปี กว่าจะโตจนขายได้ ไม่เหมือนอาหารหมูในยุคปัจจุบันที่เร่งหมูให้โตได้ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน

หน้าที่ของพวกผม คือการไปช้อนแหน สาหร่าย เก็บผักตบชวา หั่นหยวกกล้วย จะให้อาหารหมูวันละ 2 มื้อ

นอกจากนั้นแล้ว ชีวิตเกษตรกรในวัยเด็กของผม ยังเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่อีกเป็นฝูง ตื่นเช้ามาจึงต้องไปเปิดเล้าเป็ดเล้าไก่ เพื่อเก็บเอาไข่ มีมากจนแม่ต้องเอาไปขาย

ลูกชาวบ้านแบบผม บางทีก็หารายได้ทุกทาง อย่างชาวบ้านแถวบ้านผมชอบแอบเล่นไฮโลในสวน ตั้งเป็นวง เล่นกันนานๆ ตั้งแต่บ่ายจนดึกดื่น บางครั้งเล่นกันทุกวันเป็นอาทิตย์ แม่จะให้ผมกับพี่ๆ น้องๆ สลับกันไปขายของใกล้ๆ ที่เขาเล่นไฮโลกัน

ของที่เอาไปขาย มีทั้งส้มเขียวหวาน ขนมเปี๊ยะ บุหรี่ยี่ห้อต่างๆ มีทั้งบุหรี่พระจันทร์ เกล็ดทอง กรุงทอง และเอาไข่ที่เก็บจากไก่หรือเป็ดที่เลี้ยงไว้ มาต้มเป็นไข่ต้มขาย คืนๆ หนึ่งก็ขายได้หลายบาท ขายได้ก็เอาเงินมาให้แม่

ผมไปนั่งขายของ และดูเขาเล่นการพนัน แต่ผมไม่ได้สนใจอยากจะเล่นอะไร เพราะรู้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เล่นการพนันไม่ดี

หลายคนอาจจะประหลาดใจ ถ้าจะบอกให้ใครฟังว่า ทั้งชีวิต ผมไม่เคยเล่นการพนันอะไรเลย และเล่นไม่เป็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นไฮโล หรือเล่นไพ่รัมมี่ ขนาดเป็นตำรวจแล้วก็ตาม ผมก็ไม่สนใจหรือถามว่าเขาเล่นกันยังไง ผมแทบไม่เคยซื้อหวยอะไรเลย ไม่ว่าใครจะชวนยังไง ในใจก็นึกเสมอว่า ของไม่ดีอย่าไปลอง และจะไม่ยอมเสียเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ แต่พอจะรู้คร่าวๆ ว่า ไฮโลเล่นกันยังไง

และสิ่งที่ทำให้ผมเกลียดตำรวจในวัยเด็ก ส่วนหนึ่งเพราะตำรวจจะวิ่งไล่จับพวกนักการพนัน ที่ลุกแตกฮือวิ่งหนีการจับกุม จนข้าวของที่ตั้งวางขายก็ถูกเตะกระเด็นกระจัดกระจาย ของก็ขายไม่ได้ ของที่เตรียมมาถ้าเป็นของสดก็เสีย ทำให้แม่ผมขาดรายได้

นั่นเป็นเหตุผลของผมประสาเด็กๆ ที่คิดแบบนั้น

 

และที่ทำให้ผมเกลียดตำรวจเข้าไปอีก เมื่อผมโตมากแล้ว พี่ชายคนโตไปผ่อนซื้อรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นเอ็นดูโร เป็นแบบรถวิบากสีส้ม พี่ชายมีรถใหม่ ผมก็พลอยดีใจตื่นเต้น และเริ่มหัดขี่มอเตอร์ไซค์ทั้งๆ ที่เท้ายังหยั่งไม่ถึงพื้นเลย เวลาเครื่องดับกว่าจะสตาร์ตได้แต่ละที ก็ทุลักทุเลมาก

ขณะที่พี่ชายของผมที่นอนเฝ้าสวนทุกคืนที่กระต๊อบ และเอารถมอเตอร์ไซค์คันนี้ไว้ที่สวนด้วย ตื่นเช้ามา ปรากฏว่ารถมอเตอร์ไซค์ได้หายไป

พ่อแม่พี่น้องทุกคนตกใจและเสียใจมาก ที่มอเตอร์ไซค์เวลานั้นแพงมากถูกขโมยลักเอาไป เมื่อไปแจ้งความกับตำรวจที่โรงพักกระทุ่มแบน ก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้า

ผมคิดถึงรถคันนี้มาก ว่าเวลานี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผมอยากไปตามเอาคืน และความเสียใจยังนึกถึงได้เสมอ และจดจำเหตุการณ์นี้ไม่ลืมเลย

นอกจากรถมอเตอร์ไซค์ของพี่ชายจะถูกขโมยไปแล้ว เครื่องสูบน้ำที่ใช้รดน้ำพืชผักในสวนของพ่อผม ก็เคยถูกขโมยมาลักเอาไปจากในกระต๊อบที่เก็บรักษาเอาไว้ เป็นเครื่องยนต์ยี่ห้อยอดฮิตสมัยนั้น คือ เครื่องเจโล ที่ต้องใส่น้ำมันเบนซินผสม ก็เคยถูกโจรลักขโมยเอาไป

เมื่อไปแจ้งตำรวจให้ช่วยติดตามเอากลับคืน ก็ไม่เคยจับโจรได้สักที

แล้วจะมีตรงไหนบ้างที่ทำให้ผมประทับใจตำรวจ เวลาดูหนัง ก็กลายเป็นตัวตลก ให้เด็กๆ อย่างพวกผมหัวเราะขบขัน

เฮ้อ แล้วสุดท้าย ผมต้องมาเป็นตำรวจเสียเอง เข้าตำรา เกลียดอะไรได้อย่างนั้น

 

การเดินทางที่สะดวกของแม่ผม จะเอาเรือไปตลาดกระทุ่มแบน โดยมีพี่สาวคนโตและคนรองพายเรือให้แม่ เพื่อไปซื้อกับข้าว ของใช้ที่จำเป็นมาใช้ภายในครอบครัว ภายหลังพี่สาวคนโตก็ขับเรือมีเครื่องหางยาวไปกับแม่ ผมก็เคยนั่งเรือไปกับแม่ และพี่สาวทั้ง 2 คน หลายครั้ง

เมื่อเรือจอดเทียบท่าที่ตลาดกระทุ่มแบนแล้ว แม่จะไปร้านขายของชำ มีของทุกอย่างขาย อาหารสด อาหารแห้ง ซึ่งเป็นร้านของเฮียฮก เจ๊นึก ไปแวะร้านพรผาสุก ซื้อพวกผ้านุ่ง ผ้าขาวม้า รวมทั้งชุดนักเรียน ร้านไทยผดุง จะขายรองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียน ส่วนร้านกิมกี่ จะขายพวกมุ้ง แม่จะไปแวะร้านวัฒนเวช เป็นร้านที่ขายเครื่องยาจีน

และเมื่อแม่ขายหมูได้ หรือขายหมากแห้งได้เงินมาเยอะ แม่จะไปร้านทองแม่ปากหวาน เพื่อซื้อทองรูปพรรณ ทีละสลึงบ้าง ทีละบาทบ้าง มาเก็บสะสมเอาไว้ แล้วแต่ว่าของในสวนจะขายได้มากหรือน้อย

แต่ผมรู้ว่า แม่เป็นคนมัธยัสถ์ประหยัดและเก็บรักษาเงินทองที่ทำงานมาได้เก่งมาก

ตลาดกระทุ่มแบนที่ผมเล่ามาเป็นภาพในความทรงจำในวัยเด็กของผม ส่วนในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือสภาพเดิมหายไปหมดแล้ว ผมไม่ทราบจริงๆ นานมากจนจำไม่ได้ว่า ผมกลับไปเยี่ยมตลาดบ้านเกิดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

 

เริ่มไปโรงเรียน

ชีวิตในวัยเรียน แหล่งเรียนรู้ใหม่

เมื่อออกเดินจากบ้านผมเลียบไปตามริมคลอง ผ่านบ้านเรือนชาวบ้าน เรือกสวน ท้องนา ผ่านคลองอ่อนใจ ทางเดินจะเป็นทางเดินแคบๆ บนพื้นดิน ลัดเลาะไปเรื่อย แล้วเดินข้ามคลองต่อไป แต่พอใกล้โรงเรียน เริ่มมีแผ่นปูนที่มีรูปดอกไม้ด้านบน ปูวางบนพื้น เรียงเป็นแถวยาว แต่ห่างๆ กัน และไม่ได้มีตลอดทาง มีเป็นบางส่วนเท่านั้น

เดินมาได้ไกล 2 กิโลเมตรกว่าๆ ก็มาถึงสะพานเริงบุญ ซึ่งเป็นสะพานปูนแคบๆ ที่แข็งแรงข้ามคลองภาษีเจริญ รถจักรยานและคนเดินข้ามกันได้

ทางฝั่งซ้ายของสะพานเมื่อหันหน้าไปตลาดกระทุ่มแบน จะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทศบาลบ้านตลาดกระทุ่มแบน (ศรีบุณยานุสสรณ์) ตำบลตลาดกระทุ่มแบน

โรงเรียนอยู่ใกล้กับที่ว่าการอำเภอกระทุ่มแบน โดยมีศาลาประชาคม คั่นกลาง

ที่ด้านหน้าโรงเรียน เป็นสนามหญ้า มีเสาธงชาติ และมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่ มีคลองภาษีเจริญไหลผ่านด้านหน้า และมีศาลาท่าน้ำ

มีนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ป.4 และชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ป.5 ถึงชั้น ป.7

สถานีตำรวจภูธรอำเภอกระทุ่มแบน อยู่ถัดจากที่ว่าการอำเภอ และต่อไปเป็นตลาดกระทุ่มแบน ที่มีร้านค้าติดกันยาวไปตามลำคลองภาษีเจริญ

 

พ่อผมได้พาผมมาเข้าเรียนชั้น ป.1 ที่โรงเรียนแห่งนี้ซึ่งพี่น้องของผมทุกคนก็เรียนที่โรงเรียนนี้กันหมด เรียกว่าเป็นโรงเรียนประจำครอบครัวเลย

คุณครูประจำชั้นคนแรกของผม ชื่อ คุณครูอรวรรณ แพถนอม ผมมีญาติเป็นเพื่อนร่วมชั้นด้วย

เพื่อนบางคนเข้ามาเรียนก็อายุมาก บางคนเกือบ 10 ขวบ และมาเรียนพร้อมกันทั้งพี่ทั้งน้อง ชื่อ วิชวย กับ วิชัย เป็นลูกชาวนา เป็นเด็กอยู่แถวคลองมะเดื่อ ทั้งสองคนสนิทกับผม วิชวยกับวิชัย ตัวโตและสูงกว่าผมมาก

ในห้องเรียนจะมีเด็กๆ เข้าเรียนประมาณ 30 คนต่อห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ที่มาจากในตลาดกระทุ่มแบน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน

นักเรียนที่เดินมาไกลจากท้องนา บ้านสวนแบบผม มีไม่มากนัก ชั้น ป.1 มี 4 ห้อง คือ ห้อง ก ห้อง ข ห้อง ค และผมอยู่ห้อง ง ในห้องเรียนมีกระดานดำที่หน้าชั้น ครูจะใช้ชอล์กสีขาวเขียน นานๆ จึงจะมีชอล์กสีบ้าง

ผมสงสัยว่า ทำไมไม่เรียกกระดานเขียว เพราะกระดานที่ครูเขียน มันสีเขียว ไม่เห็นจะเป็นสีดำตรงไหน แต่ผมก็ไม่เคยถามครูเลยทั้งชีวิต ผมค่อนข้างกลัวครู เพราะครูจะดุ และถ้าทำไม่ถูกจะถูกครูตีด้วยไม้เรียว

ฝาผนังห้องทั้ง 2 ด้าน จะมีกระดานดำให้นักเรียนได้ใช้ฝึกเขียนด้วย ครูสอนให้นักเรียนเขียนอักษรไทย และเขียนเลขไทย เลขอารบิก ฝึกสะกดคำ ก กา ข ขา

ความรู้สึกของผมในตอนไปโรงเรียนวันแรก ผมรู้สึกกลัวไปหมด ไม่อยากไปเลย

ต่างจากเด็กเล็กๆ ในสมัยนี้มาก ลูกๆ ของคนที่ผมรู้จักในออสเตรเลีย พ่อแม่จะบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ลูกอยากไปโรงเรียนมาก และเวลาเลิกเรียนก็ไม่อยากกลับบ้านกัน

ผมสงสัย อะไรทำให้เด็กสมัยนี้ถึงอยากไปโรงเรียน และไม่อยากกลับบ้าน

พ่อแม่เด็กๆ จะบอกว่า ที่โรงเรียนเขามีของเล่นให้เด็กๆ เล่นกันอย่างเต็มที่ ได้แสดงออกตามที่เด็กต้องการ มีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม คุณครูก็เอาใจใส่ ที่โรงเรียนไม่มีอะไรที่น่ากลัว มีแต่ความสนุก ดังนั้น เด็กๆ จึงมีความสุขเมื่ออยู่ที่โรงเรียนจนไม่อยากกลับบ้าน

ส่วนผมความรู้สึกตรงข้ามกันเลย เมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว ต่างกันลิบลับ ยิ่งเอามาเปรียบเทียบกับออสเตรเลีย ความห่างชั้นไม่ต้องพูดถึง

 

เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 โมง เสียงระฆังจะถูกตี เป็นสัญญาณว่า เป็นเวลาโรงเรียนเลิก โรงเรียนจะใช้การตีระฆังบอกเวลาให้ทราบว่า เป็นเวลาที่เข้าห้องเรียน เวลาพักเที่ยง เวลาพักตอนบ่าย และเวลาเลิกเรียน ผมยังกลับบ้านเองไม่ได้ ต้องรอพี่ๆ เพื่อจะเดินกลับบ้านพร้อมกัน เพราะความกลัวและยังไม่คุ้นเคยเส้นทาง

เมื่อไปโรงเรียนสักระยะจึงเริ่มคุ้นเคยแล้ว ก็เดินกลับบ้านเองได้ ส่วนตอนเช้า พี่ๆ น้อง ๆ จะแต่งชุดนักเรียน ด้วยกางเกงขาสั้นสีกากี เดินไปโรงเรียนพร้อมกัน

แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่รองเท้าไป เดินเท้าเปล่า ต่อมาก็มีรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลสวมใส่ไป

ถ้าช่วงฝนตกๆ ทางเดินเป็นดินโคลน ต้องถอดรองเท้าหิ้วไปโรงเรียน พอไปถึงโรงเรียน ก็ไปล้างเท้าที่ศาลาท่าน้ำหน้าโรงเรียน แล้วสวมรองเท้า ผมจะใช้รองเท้าจนขาด

ผมเริ่มหัดใช้ดินสอเขียนตัวหนังสือ เขียนตัวเลขและเริ่มมีจินตนาการในวัยเด็ก คือ อยากวาดรูป ผมเอาชอล์กสีขาวมาวาดรูปที่กระดานดำที่ฝาผนังข้างห้องซึ่งติดกับที่นั่งผม

ผมชอบวาดรูปคน รูปทหารมีเครื่องแบบที่ผมเห็นในโทรทัศน์ขาวดำ จนกระทั่งผมติดนิสัยชอบวาดรูปมาแต่ครั้งนั้น

ผมเรียนชั้น ป.1 อาคารเรียนเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ทาสีเหมือนไม่ได้ทา คือ สีแดงหม่นๆ ดำๆ เหมือนสีของเนื้อไม้ มีต้นชงโค ปลูกหน้าอาคารเรียน

ตอนเรียน ป.1 แบบหัดอ่านที่นักเรียนจะจำในหนังสือเรียนได้แม่น จนทุกวันนี้ยังพอจะจำได้ คือ

___พ่อหลี พี่หนูหล่อ พ่อเขาชื่อ หมอหลำ แม่ชื่อ แม่หยา อยู่แพ ที่สำเหร่ เขาค้า ผ้าไหม หม้อใหม่ๆ ก็มี ดีหมี ดีหมูป่า หน่อไม้ หญ้าไซ หญ้าคา หน่องา และยาหมู่___