ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา เราจะได้ผ่านตาข่าวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ในแง่ที่จะมองว่า “ไม่เป็นสาระ” สักเท่าไหร่ก็ใช่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ “เคลม” ว่าอะไรเป็นของไทย หรืออะไรเป็นของเขมร
ตั้งแต่เรื่องท่ารำไทย ข้าวเหนียวมะม่วง ที่พูดกันว่าจริงๆ แล้วเป็นของเขมรแล้วไทยไปขโมยมา จนมาถึงเรื่อง “มวยไทย” ที่จะให้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ กุนแขมร์
หรือแม้แต่เรื่องตลกๆ ที่บอกว่าลายโมโนแกรมของหลุยส์ วิตตอง ก็มาจากลายในสถาปัตยกรรมเขมร
หรือเรื่องที่ข้าวหอมมะลิผกาลำดวนของกัมพูชาที่ได้รางวัลข้าวที่ดีที่สุดของโลกปี 2565 ก็อาจทำให้คนไทยหวั่นไหวนิดหน่อยว่า ข้าวหอมมะลิของเราจะสู้ข้าวกัมพูชาไม่ได้
ย้อนไปไกลกว่านั้นก็จะเห็นว่า ไทยและกัมพูชามีประเด็นต่อกันในแบบที่เราไม่มีกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น กรณีเขาพระวิหาร ที่ถึงกับสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาลในสมัยที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ
เพราะเป็นประเด็นที่รัฐบาลตอนนั้นถูกโจมตีว่า “ไร้ความสามารถในการรักษาสิ่งที่ควรจะเป็นของไทย”
ทั้งๆ ที่ข้อพิพาทนี้จบไปตั้งนานแล้วว่าเขาพระวิหาร “ถูกตัดสินให้เป็นของกัมพูชา”
มองจากมุมของ “ทางการ” กัมพูชา และประชาชนชาวกัมพูชา ฉันคิดว่าประเทศกัมพูชาในตอนนี้กำลังอยู่ในห้วงเวลาสร้าง “ตัวตน” ให้โลกได้รู้จักกัมพูชาที่ไม่ใช่ภาพจำของโลกภายนอกอย่างที่เคยเป็น “ภาพจำ” ของกัมพูชาในสายตาของ “คนนอก” นั้นมีอยู่อย่างหลากหลายมาก
ไม่ว่าจะเป็นภาพจากสายตาของเจ้าอาณานิคมที่มองกัมพูชาทั้งผ่านแว่นของ “บุรพคตินิยม” หรือ orientalism มองเห็นเป็นสิ่งที่ exotic เย้ายวน น่าค้นหา
หรือการพยายามหาคำตอบว่าดินแดนที่ล้าหลัง ป่าเถื่อนนี้เคยเป็นอู่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มาก่อน และเป็นหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะไปขุดค้น กอบกู้อารยธรรมนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
และนั่นจึงเป็นความชอบธรรมว่าทำไมคนผิวขาวจึงมีสิทธิไปปกครองคนพื้นเมืองที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งความยิ่งใหญ่ในอารยธรรมของบรรพบุรุษตัวเอง
อาณานิคมจึงหมายถึงการใช้ทั้งกำลังทหาร อำนาจ เข้าไปปกครอง กดขี่ ขูดรีด ค้ากำไร
และอีกด้านหนึ่งคือการมีนักวิชาการ นักโบราณคดีเข้าไปขุดค้น จนพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของอารยธรรมโลก ไปจนถึงการแปลศิลาจารึก การอ่านอักษรขอมโบราณ
ไม่ต่างอะไรจากที่นักวิชาการตะวันตกไปค้นพบภาษาสันสกฤตที่สาบสูญไปจากคนอินเดียไปแล้วนับเป็นพันปี
ถัดจากภาพจำแบบ “บุรพทิศนิยม” ก็เป็นภาพจำของสงครามเขมรแดง ซึ่งภาพจำทั้งสองแบบไม่ได้สะท้อนภาพกัมพูชาอย่างที่มันเป็นจริงๆ
ถ้าฉันเป็นชาวกัมพูชา ฉันก็คงอึดอัด และอยากบอกให้โลกรู้ว่าฉันไม่ได้มีแค่สองภาพสำเร็จรูปที่พวกเธอรู้จักกันหรอกนะ
และถ้าเราวางความรู้สึก “ร่วม” นี้ในบริบทที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (โดยยุบพรรคคู่แข่ง) ที่กำลังสร้างคะแนนนิยมในหมู่ประชาชน ด้วยการเร่งพัฒนาประเทศ ให้ประชาชนเห็นความเปลี่ยนแปลงว่า ผู้นำประเทศสามารถพากัมพูชาไปโดดเด่นบนเวทีโลก เราจะไม่ให้ใครมาดูถูกเราได้อีกต่อไป
ดังนั้น มิติของสำนึก “ชาตินิยม” จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลจะนำมาสื่อสารกับประชาชนว่า วัฒนธรรมเขมรไม่แพ้ชาติใดในโลก
เราปล่อยให้ “ไทย” สร้างแบรนด์ด้านนี้ในฐานะที่เป็นสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวมาหลายทศวรรษละ ถึงเวลาที่เราต้องทวงคืนเสียที
และอย่างที่เรารู้กันดีว่าความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของประเทศเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ล้วนเป็นรัฐชาติที่เพิ่งถือกำเนิดมาในศตวรรษที่ 20 รวมถึงทุกๆ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
นั่นแปลว่า ก่อนหน้านี้ วัฒนธรรม อาหาร ศาสนา เครื่องแต่งกาย มันไม่ได้ถูกเจาะจงว่าเป็นของชาติไหน
เช่น “บริยานี” หรือ “ข้าวหมก” ก็เป็นอาหารของคนทั้งในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ไปจนถึงแอฟริกา
นับประสาอะไรกับอาหาร เช่น แกงต่างๆ ก๋วยเตี๋ยวผัด เส้นผัด ก๋วยเตี๋ยวแกง บะหมี่ เกี๊ยว ข้าวมัน ข้าวเหนียวมูนกินกับผลไม้ น้ำพริก ขนมหลายอย่าง จะมีเหมือนหรือคล้ายๆ กันในดินแดนต่างๆ อย่าว่าแต่ข้าวเหนียวมะม่วงของไทยกับเขมร
ยิ่งไปกว่านั้น อาหาร กีฬา นาฏศิลป์ หลายอย่างเป็น “วัฒนธรรมที่เพิ่งสร้าง” ภายหลังการสร้างชาติ โดยการหยิบของของเก่า ของยืม ของที่มีร่วมกันในภูมิภาค มาดัดแปลง standardized มัน และแปะสติ๊กเกอร์ “ประจำชาติ” หรือจับจองว่านี่ของประเทศฉัน ชาติของฉัน
จากนั้นก็เคลมเล่าเรื่องไปว่าสืบทอดต่อกันมาเป็นร้อยปี พันปีอะไรก็ว่าไป
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ไทยกับกับพูชาจะมีหลายอย่างที่คล้ายกัน ร่วมกัน ยืมกัน
และดูเหมือนว่า ไทยจะยืมจากเขมรมากกว่าเขมรยืมจากไทย
แม้แต่ภาษาไทยก็มีคำยืมจากภาษาเขมรมาก อีกทั้งในยุคหนึ่ง ภาษาเขมรก็ถือเป็นภาษาสูงหรือภาษาราชสำนักของไทยด้วย
ในบริบทที่กัมพูชาจะปักหมุดความเป็นกัมพูชาในการรับรู้ของโลก ทั้งเพื่อสร้างสำนึกภาคภูมิใจในความชาติ ทั้งเพื่อแปรให้เป็นซอฟต์เพาเวอร์ในการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์
การสร้างเรื่องเล่า หรือ narrative ว่าด้วยการครอบครอง originality จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และน่าเฝ้ามองด้วยสายตาของผู้สังเกตการณ์ทางวัฒนธรรมมากกว่าโกรธขึ้ง ด่าทอ หรือหงุดหงิด
เพราะคนไทยหรือสังคมไทยเองก็มีความรู้สึกเช่นนั้นหลงเหลืออยู่ไม่น้อย เช่น รู้สึกโกรธที่ไอดอลเกาหลีบอกว่าไข่เจียวเจ๊ไฝไม่เห็นจะอร่อยอะไรขนาดนั้น
หรือหงุดหงิดที่แกงส้มได้รับการโหวตให้เป็นแกงยอดแย่
หรือดีใจได้หน้าได้ตาเมื่อมัสมั่น หรือข้าวซอยเป็นแกงเป็นซุปที่อร่อยที่สุดในโลก
หรือทุกวันนี้ เราก็ยังไม่ค่อยรู้ตัวเวลาพูดว่า อาหารชาติไหนก็ไม่อร่อยเท่าอาหารไทย (แต่เดินห้างในไทยมีร้านอาหารญี่ปุ่น)
ฉันคิดว่าการสร้างความภาคภูมิใจ หรือสำนึกรักชาติ ภูมิใจในชาติไม่ใช่เรื่องที่ผิด
แต่มันจะดีมากกว่านี้ หากทุกชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวข้ามเรื่องที่พึงเป็นวัฒนธรรมร่วม
เช่น ไม่ต้องทะเลาะกันว่าข้าวมันไก่เป็นของมาเลเซียหรือสิงคโปร์
ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นของไทยหรือเขมร
แต่เป็นของพวกเราทุกคนในภูมิภาคนี้นั่นแหละ
และเราควรภูมิใจกับอารยธรรมที่เรามีร่วมกันนี้แต่ก็แตกต่างในรายละเอียด เช่น ข้าวมันไก่ที่เชียงใหม่ก็ไม่เหมือนข้าวมันไก่ที่มาเลเซียแน่ๆ
นี่คือความร่ำรวยทางอารยธรรมที่เรามีร่วมกัน
คนไทยก็ยอมรับเถอะว่าอาณาจักรขอโบราณเป็นอู่อารยธรรมจริงๆ ยิ่งใหญ่มาก และดีเหมือเกินที่เราอยู่ใกล้ๆ กับแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
เพราะนี่คือโอกาสของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เราจะมีร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทุกอย่าง
นอกจากอารยธรรมเรื่องอาหาร เรื่องมวย เรื่องข้าวหอมมะลิแล้ว ฉันคิดว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้จำเป็นต้องมีคุณค่าใหม่ๆ ที่เป็นสากลที่เราควรจะภาคภูมิใจได้ด้วยเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณค่าของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ที่รัฐเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ
เสรีภาพในการวิจารณ์รัฐบาลแล้วไม่ต้องโดนจับ
การมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่โปร่งใส เป็นธรรม
พูดอย่างเรียบง่ายคือ สิ่งที่ประชาชนของทุกประเทศอย่างน้อยในอาเซียนควรหงุดหงิด ไม่ใช่เรื่องใครเป็นเจ้าของข้าวเหนียวมะม่วง
แต่เป็นเรื่องที่พวกเราล้วนแล้วแต่อยู่ในประเทศที่ขาดไร้ซึ่งคุณค่าของอารยธรรมสากล
นั่นคือ สังคมที่ให้คุณค่ากับศักดิ์ศรีของความเป็นคนและเป็นประชาชนสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด
ถ้าเราสถาปนาคุณค่านี้ได้สำเร็จเมื่อไหร่ เราจะไม่กังวลกับเรื่องข้าวมันไก่ ผัดไทย มวยไทย หรืออะไรเลย
นอกจากเห็นมันเป็นกิมมิกสนุกๆ ในการนำเสนอจุดเด่นของแต่ละเประเทศ เพราะเราได้ “ปลดปล่อย” ตัวเองออกจากปมของการเป็นเพียง “เมืองขึ้น” หรือบ้านเมืองที่ถูกอธิบายผ่านสายตาของคนอื่นอยู่ร่ำไป
แต่ด้วยการประกาศเอกราชศักดิ์ศรีผ่านการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยลงไปในบ้านเมืองได้สำเร็จ
สิ่งที่ยืนยันความเป็นอารยะไม่ใช่อาหารอันวิจิตรเพริศแพร้ว
แต่คือการเห็นคนเป็นคนเท่ากันคืออารยชน จากนั้นเราจึงจะได้รับการยอมรับนับถือจากประชาคมโลกดังฝัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022