มิสซิส | เรื่องสั้น : ปันนารีย์

เรื่องสั้น | ปันนารีย์

มิสซิส

 

เปรียบผู้หญิงเป็นดอกไม้ มันไม่น่าจะเข้าท่าสักเท่าไหร่

ตลอดชีวิตของดอกไม้ ใช้เวลาไปเพื่อการหลอกล่อแมลงหรือเอาแต่ผึ่งแดด อาบน้ำค้าง ต้องรอคอยให้ใครสักคนมารดน้ำ เพื่อจะยืดกิ่งก้านขึ้นไปชื่นชมท้องฟ้า วันหนึ่งดอกไม้ถูกตัดมาปักแจกันประดับไว้บนโต๊ะ อาบแสงโคมไฟแทนการได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เก็บมันไว้ตรงนั้น ลืมมันไว้ที่นั่น ท้องฟ้ากว้างใหญ่ มีภูเขา มีท้องทะเล มีสถานที่อื่น ตลอดชีวิตของดอกไม้เป็นอะไรได้มากกว่านั้น และผู้หญิงเองก็มิใช่ดอกไม้

หากทว่า ถ้อยคำเหล่านี้ก็เพียงเศษเสี้ยวสำเนียงแผ่วเบาที่ดังมาจากมุมใดมุมหนึ่งของบ้านเท่านั้น

เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เหมือนละครดราม่าชีวิตพระเอกกำลังย่ำแย่ พ่อแม่เพิ่งเสียชีวิต ธุรกิจล้มละลาย หลักสูตรความล้มเหลวที่เธอบังเอิญเดินสวนทางเข้ามาในฉากนี้พอดี ลุกขึ้นแล้วจูงมือกันเดินต่อไป เกี่ยวก้อยคำสัญญา เราจะไม่มีวันทิ้งกัน ทะเลย่อมไม่เหือดแห้ง ฝนเดือนเมษาไม่แล้งตลอดกาล ความดีเหมือนแพรพรรณห่อคลุมโลกสีน้ำเงิน พยักพเยิด ท้าทาย ร่วมหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย ร่ำไห้ได้ทั้งวี่ทั้งวัน เขาซาบซึ้งประทับใจในตัวเธอจึงตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้น ฉากสวมแหวนขอแต่งงานทำความเพ้อฝันบรรเจิด เธอฝันเห็นภาพอนาคตของตัวเองอยู่ในชุดฟูฟ่องสีขาว กำช่อดอกไม้ไว้หันหลังแล้วโยนออกไป เสกคำอวยพรให้ใครสักคน เพื่อจะได้เป็นเจ้าสาวแสนสวยรายต่อไป

ภาพฝันอันกระเจิดกระเจิงระเบิดกลางอากาศ ขณะลูกโป่งใบนั้นได้ลอยขึ้นไปข้างบน สภาพที่ตกลงถึงพื้น ร่างกายของเธอถูกบีบอัด เบียดแทรกและพองลม เธอปูดเด็กคนหนึ่งออกมาจากร่างกาย ไม่นานผิวเนื้อด้านท้องขยายออกก่อนจะย้วยหย่อนลงมาในสภาพที่คล้ายลูกโป่งถูกรีดลม— แฟบแบน ย้วยย้าย ราวกับไม่เคยมีสภาพแข็งแกร่งมาก่อน สภาพร่างกายของเธอถูกฉีกทึ้ง โดยอาวุธแท่งยาวและอารมณ์อันเกรี้ยวกราดที่ผสมผสานกันในท่วงทำนองเดียวกันกับบทกวี มันเป็นบทกวีของอาชาไนยเท่านั้น ส่วนคนที่ถูกบดขยี้ทำได้เพียงหลับตาให้ลึกที่สุด จมหายไปในห้วงความมืดจวบจนเกิดจุดวาบแสงที่ไหนสักแห่ง เปล่งแสงประกายออกมาจากร่องรอยอันเปียกชื้น และได้ทิ้งความรู้สึกบาดเจ็บเอาไว้

ฉากเดียวกันนั้นเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและตอนจบ บทที่ขยับมาสู่บทบาทจริง ภาพฝันเสมอเหมือนดวงตากำมะหยี่ของท้องฟ้ายามเย็น เมื่อเรือลำหนึ่งได้แล่นออกจากฝั่งไปแล้ว มันจะไม่มีทางหวนคืนกลับมา

 

ดอกไม้อ่อนโยนเสมอดวงตาผู้จ้องมอง เธอลงมือปลูกดอกไม้ไว้ในกระถางหน้าบ้าน รอดูมันงอกงาม ชูช่อแข่งกับท้องฟ้าสีสันแปลกตา แต่ทว่า

“ยกกระถางไปให้ไกลๆ จากทางเดินเลยนะ ปลูกทำไมเปลืองค่าน้ำเปล่าๆ”

ไม่ว่าเธอจะหยิบจับอะไร มนุษย์เมียยุคสองพันยี่สิบยังฟื้นตื่นจากละครน้ำเน่าหลังข่าวภาคค่ำเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว เธออยู่ตรงนี้ในห้องครัว ในลานซักล้าง หายใจปะปนกับเหงื่อ มลพิษประดังประเดเพิ่มเติมเข้ามาทีละข้อสองข้อ

“อาหารแสนจืดชืดและไร้รสนิยม”

เขาบ่นเรื่องต้มจืดที่ควรมีรสเผ็ดของพริกไทยบ้าง ผัดกะเพราอาหารบ้านๆ แต่ทำไม่เป็นสับปะรด เขาอยากกินสปาเกตตีราดซอสคาโบนาร่าบ้าง ทำไม่ได้ล่ะสิ เสียงหัวเราะในลำคอของเขาค่อนไปทางเย้ยหยัน ริมฝีปากแสยะยิ้มของเขาเผยอขึ้น ดวงตาเหยียดเล็กๆ มันได้ละทิ้งเธอให้รอนแรมไปสู่ดินแดนในนิทาน เพื่อจะพบว่าแสงอันเจิดจ้ามอดดับลงแล้ว มีเสียงเล่าอันอ่อนระโหยโรยแรงดังขึ้น เจ้าหญิงสยายผมยาวของเธอดึงเจ้าชายให้ปีนขึ้นมาสู่หอคอย ก่อนที่หอคอยหลังนั้นจะทรุดตัวลงมา เจ้าชายหรือเจ้าหญิงไม่พบความสุขสมบูรณ์ในตอนจบเสมอไป

กรุณาลืมไปเลย สำหรับเรื่องดอกไม้ มันไม่ควรถูกวางทิ้งไว้ตรงนั้นนานแล้ว ไม่มีน้ำในแจกันหล่อเลี้ยง น้ำเหือดแห้งเหลือแต่คราบใบไม้แห้งกรัง พอๆ กับกลีบดอกที่ได้กลายสภาพเป็นสีน้ำตาลไหม้ โรยราหรือไรเจ้าดวงดอกไม้

 

เขาตั้งชื่อว่า “ตะวัน” ราวกับเป็นแสงใหม่ของชีวิต มันฉายแสงวูบวาบทอประกาย บ่งบอกว่าเธอจะมีชีวิตใหม่ ลืมภาพโล้ล้มที่ได้ตวัดปลายพู่กันมันบนผ้าใบสีดำ ต่างจะเริ่มต้นเล่นละครบทบาทใหม่ในชีวิต เพื่ออุทิศให้ใครสักคน คิดถึงตัวเองให้น้อยลง ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่การแต้มสีสันดวงตะวันดวงหนึ่งขึ้นมา เธอลดบทบาทการทำงานนอกบ้าน เพื่อทุ่มเทให้กับคำว่า “แม่” ยอมสวมผ้ากันเปื้อนด้วยใบหน้ามันฉ่ำอยู่ในห้องครัว เสียงกรุ๊งกริ๊งโมบายรูปตุ๊กตาเต้นระบำเหนืออู่นอนของเด็กแรกคลอด เขาใจดีอยู่หลายปี ไม่ถูกใจบ้าง ตะวันเกิดมามีผิวขาว รูปร่างผอมบาง เขาบอกให้เธอขุนลูกให้อ้วนกว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้ จวบจนตะวันอายุได้หกขวบ เด็กชายผู้ผอมบางบอกเธอว่าทุ่งดอกไม้ของหนูสวยงามและปีกผีเสื้อแสนสวยเหล่านั้นก็เป็นของหนูทั้งหมด

ตะวันเรียกตัวเองว่า “หนู” เสมอ

เหมือนลำแสงย้อนกลับและเข้าจู่โจมนัยน์ตา ตอนที่มันกำลังจะพลบค่ำ

“หยิบลูกมาผิดหรือเปล่า”

เขาแสดงสีหน้าที่แบนราบ ราวกับลำเรือของเขาได้แล่นออกจากฝั่งที่เธอและตะวันได้แค่ยืนมอง ลูกผู้ชายต้องแข็งแกร่งดุจดวงตะวัน “ตะวัน” เป็นลำแสงอันลุกโชน ไม่ใช่แสงตะวันแซมสีรุ้ง ยิ่งเติบโต ตะวันยิ่งบอบบาง ริมฝีปากเรียวงามสีชมพูระเรื่อผสมผสานนัยน์ตาหวานฉ่ำ เนื้อผิวเนียนละเอียดลออ ตะวันสวยคืนสวยวัน

 

บ้านหลังหนึ่งเริ่มวังเวง เมื่อโต๊ะอาหารไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้น แสงไฟยามค่ำวอมแวม บ้านโอบกอดด้วยความเงียบ ตะวันถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนประจำชายล้วนเพื่อการบ่มเพาะ อ้างเอ่ยเพื่อปรับเปลี่ยนดอกไม้ดอกหนึ่งให้เป็นก้อนหิน เพื่อจะได้เติบโตเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่ง มีภาวะเป็นผู้นำ แม้เธอจะคัดค้านว่ากำลังบดขยี้ดอกไม้ให้ชอกช้ำกว่าเดิม เหมือนเมฆเคลื่อนที่ออกไปจากชายฝั่งนานแล้ว ความคิดเห็นไม่ตรงกันเหมือนรอยร้าวสะสมในแจกันใบนั้น มันวางอยู่ตรงนั้น ปริแตกได้เอง

โดยไม่ต้องสังเกต เห็นดอกไม้ค่อยๆ เหี่ยวเฉาลง

 

บ่ายวันหนึ่ง เขาพาเพื่อนอีกห้าหกคนมาจัดปาร์ตี้เล็กๆ ที่บ้าน นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เลย ความเงียบถูกถ้อยคำสรรเสริญเยินยอแผ่คลุม พวกเขายกย่องความดีงามของผู้หญิงทำงานเก่ง

ผู้หญิงคนนั้นถูกแนะนำว่า

“ถูกซื้อตัวมาจากบริษัทคู่แข่งเชียวนะ”

ผู้หญิงคนนั้น สวย คม ริมฝีปากแย้มเพียงเล็กน้อยก็งดงาม ราวกับภาพโมนาลิซ่าประดับไว้บนฝาผนังที่หอศิลป์ ส่วนตัวเธอเริ่มกลายเป็นตัวประหลาดในบ้านของตัวเอง เอาแต่พรางตัวด้วยกิ่งไม้ใบหญ้าแล้วหมอบลงให้ต่ำแนบพื้นพรม เมื่อถ้อยคำสรรเสริญเป็นของผู้หญิงเก่งคนเดียว ก็เหมือนใบไม้ความทุกข์ยากของผู้หญิงอีกคนค่อยๆ กองทับถม กดจมลงไปอีก ลงลึกไปราวสักสามร้อยกิโลเมตรเห็นจะได้

เมื่อเธอสูญเสียตัวเอง จากสิ่งที่อยู่ด้านนอกอย่างสมบูรณ์ ได้แต่โอบกอดตัวเองไว้อย่างเต็มใจในห้องของตะวัน

“หนูคิดถึงแม่มาก”

เธอเฝ้าอ่านข้อความจากลูกอยู่ในห้องนอน กลิ่นของเขายังติดอยู่ คราบน้ำลายวาดภาพดอกทานตะวันสีอบอุ่นติดค้างไว้บนหมอนหนุน ผืนผ้าม่านสะบัดเสียงหัวเราะของวันวานที่เอาแต่บีบเค้นหัวใจให้เผลอรินน้ำตาอาบร่องแก้มอันหย่อนคล้อย

หากยามใดผู้เป็นพ่อได้ยินตะวันพูดแบบนี้

“หนูอยากได้เสื้อกันหนาวสีชมพูที่มีหมวก…”

มังกรอันร้ายกาจจะออกมาจากหัวของเขา

เขาพร้อมกลายร่างเป็นยักษ์ ยืนเฝ้าอยู่หน้าปราสาทอันใหญ่โต หากภายในอาณาเขตของเราไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยได้เลย ผู้หญิงไม่ใช่ดอกไม้ ราวกับซุ้มประตูทางออกของบ้านหลังใหญ่มั่นคง เป็นทางออกเดียวกันกับแสงไฟยามพลบค่ำ การก้าวออกจากประตูหนึ่งอาจกำลังมุ่งไปสู่หุบเหวที่ไม่มีวันล่วงรู้ความลึก

มีฉากหนึ่งในละครพูดว่า

“เราหนีไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะ แม่”

ถ้าชีวิตจริงเซ็ตฉากได้เหมือนละครน้ำเน่า ที่พวกผู้หญิงเฝ้าฝันอยากออกไปสู่แสงสว่างของตัวเอง พยายามเรียกร้องและร้องขอ ได้โปรดกรุณาลืมว่าเราไม่ได้อยากเป็นแค่ดอกไม้ในแจกันสวยงามควรค่าแก่การทะนุถนอม ขณะเดียวกันก็พร้อมแตกหักอยู่ในกำมือของตัว เพื่อปลดปล่อย อ้า… อาจลืมไปว่า เธอล้วนเคยเป็นดอกไม้อันหอมหวาน และเมื่อยามใดที่ดอกไม้ร่วงหล่น มันเต็มไปด้วยเกสรที่ไร้กลิ่นเสียแล้ว กระจัดกระจายเป็นเศษธุลีอะไรสักอย่าง

แค่ลมพัดเข้ามาภายในห้องเล็กน้อยก็ปลิดปลิว

 

เธอนอนก่ายหน้าผาก วุ่นวายในหัวสมองอันน่าจะระเบิดได้เอง แอร์เย็นฉ่ำมิอาจล่วงล้ำกล้ำกราย อากาศภายในยังร้อนระอุด้วยความคิดอันหนักหน่วง คิดถึงด้วยใบหน้าอันอ่อนหวาน ยิ้มพริ้มพรายในดวงใจของแม่ แสนห่วงหาอนาทรร้อนใจมากมายมหาศาล ด้วยความเป็นแม่ มิใช่ดอกไม้ในแจกันที่ถูกวางทิ้งไว้

ไม่รีรอใครสักคนเดินเข้ามาชื่นชมดอกไม้แห้งเหี่ยว ร่วงโรยรา และมันได้ถูกทอดทิ้ง

ค่ำคืนวิ่งผ่าน มีแต่สายฝนวิ่งกรูกันออกมาจากห้วงสนธยา เธออยากได้ยินเสียงอิสรภาพ มันส่งเสียงครางหึ่งๆ เหมือนเสียงฝนกำลังออกเดินทาง ระหว่างนั้นเขาพลิกร่างกายอ้วนใหญ่เข้ามากอดก่ายร่างของเธอไว้แน่น แล้วโครงกระดูกผอมบางทั้งร่างของเธอ ก็ไม่อาจบังคับให้ตัวเองลุกหนีไปจากเตียงอันอ่อนนุ่ม

แล้วเสียงฝนก็วิ่งผ่านหลังคาบ้านไป •