ร่องรอย เบาะแส อัน ‘โกวเล้ง’ กำหนดวาง ‘อาฮุย’ มองไม่ออก

บทความพิเศษ

 

ร่องรอย เบาะแส

อัน ‘โกวเล้ง’ กำหนดวาง

‘อาฮุย’ มองไม่ออก

 

ความจริง มี “เบาะแส” มากหลายอันชวนให้บังเกิดเสียง “เอ๊ะ” ดังขึ้นและดังขึ้นถี่ยิบมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

แต่นั่นมิใช่จาก “อาฮุย”

เอากันแค่ในห้วงสั้นๆ ที่ปรากฏขึ้นในตึกเมฆเรืองโรจน์ 1 คือการที่ลิ่มเซียนยี้เดินทางไปหาอาฮุยที่ศาลบรรพชน

และบอกเบาะแสของ “ลี้คิมฮวง”

เมื่ออาฮุยเดินทางเข้าตึกเมฆเรืองโรจน์หวังจะช่วยลี้คิมฮวงให้พ้นจากการถูกคุมตัวไปยังวัดเสียวลิ้มยี่

แต่แทนที่จะ “ราบรื่น” กลับมากด้วย “อุปสรรค”

อุปสรรคจากการลอบโจมตีโดยอิ้วเล้งเซ็ง ตามด้วยมือเทพยดาเกาทัณฑ์ในความควบคุมของฉั้งฉิก

ตามด้วยหมัดอรหันต์อันร้ายกาจจากซิมไบ๊ไต้ซือ

เมื่อหลบหนีเข้าไปยังดงดอกเหมยอันเป็นที่ตั้งตำหนักหอมเย็นยังประสบเข้ากับซิงแซขลุ่ยเหล็กอย่างเหนือความคาดหมาย

เบาะแส 2 นี้ทิ้งร่องรอยเอาไว้เล็กน้อย

 

ระหว่างการปะทะของซิงแซขลุ่ยเหล็ก กับอาฮุย ซึ่งรับบาดเจ็บอย่างหนักหนาสาหัสทั้งสองฝ่าย

หลังคำกล่าวของซิงแซขลุ่ยเหล็กที่ว่า

“วันนี้เราเรียนรู้เรื่องหนึ่ง จะไม่ต่อให้ผู้อื่น 3 กระบวนท่า ท่านก็สมควรเรียนรู้เรื่องหนึ่ง หากคิดลงมือก็ต้องโค่นฝ่ายตรงข้ามล้มลง ไม่เช่นนั้นท่านอย่าได้ลงมือเด็ดขาด”

อาฮุยขบกรามกรอด มองดูดาวเย็นที่ปักตรึงอยู่บนเท้าของตัวเอง

กล่าวย้ำทีละคำว่า “ประเสริฐ ท่านไปเถอะ”

อาฮุยไม่ทันกล่าววาจา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา มีคนร้องเรียกว่า “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสขลุ่ยเหล็ก ท่านลงมือประสบผลหรือไม่”

ซิงแซขลุ่ยเหล็กกล่าวว่า “รีบไป เราไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าท่าน และไม่ต้องการให้ท่านตายใต้เงื้อมมือผู้อื่น”

อาฮุยกลิ้งตัวตามพื้นดิน กลิ้งออกไป 2 วา

เท้าของอาฮุยแม้เดินไม่ได้ แต่มือยังมีพลังดุจเดิม

 

เบาะแสอันเป็นร่องรอยที่ 2 นั้นย่อมมาจากคำเรียกขานที่ว่า “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสขลุ่ยเหล็ก ท่านลงมือประสบผลหรือไม่”

คำของซิงแซขลุ่ยเหล็กต่างหากคือรหัสนัย

นั่นก็คือ “รีบไป เราไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าท่าน และไม่ต้องการให้ท่านตายใต้เงื้อมมือผู้อื่น” เท่ากับยืนยันอย่างเด่นชัดว่า

ผู้มาก็หมายจะจัดการกับอาฮุยเช่นเดียวกัน

เพียงคำเรียกขานว่า “ผู้อาวุโส” ก็มีความเด่นชัดแล้วในความสัมพันธ์ เมื่อตามมาด้วยประโยคที่ว่า “ท่านลงมือประสบผลหรือไม่”

ก็ประจักษ์แจ้งในเจตนาของการมา

ปมเงื่อนสำคัญอย่างที่สุดก็คือ คนที่มาย่อมรู้จักซิงแซขลุ่ยเหล็กเป็นอย่างดี และต้องเป็นคนบอกตำแหน่งแหล่งที่ให้รอคอย

รอคอยการมาถึงของ “อาฮุย”

ไม่ว่าการนำข่าวสารอันเกี่ยวกับชะตากรรมของลี้คิมฮวงไปแจ้งให้แก่อาฮุย ไม่ว่าการจัดเตรียมกำลังไว้รับมืออาฮุย

ล้วนดำเนินไปตามแผน “สมคบคิด” เพียงแต่อาฮุยไม่รู้

 

ก่อนที่อาฮุยจะหล่นลงไปในหุบเหวอันลิ่มเซียนยี้วางไว้รออยู่มีคำอธิบายมากมายออกมาจากปลายพู่กันของ “โกวเล้ง”

ขอให้พิจารณาผ่านสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง

อาฮุยรู้สึกตัวอ่อนระทวย ดุจดังนอนอยู่บนปุยเมฆ ในอากาศมีกลิ่นหอมจางๆ ที่คล้ายดอกไม้ คล้ายกำยาน

ได้สติตื่นมาแล้ว แต่กลับคล้ายยังอยู่ในความฝัน

ประสบการณ์แรกก็คือ ได้ยินคนผู้หนึ่งกล่าว “ท่านได้สติตื่นแล้ว” เป็นเสียงที่นุ่มนวลกระไรปานนั้น กังวลสนใจกระไรปานนั้น พอลืมตาก็เห็นใบหน้าที่สวยสะคราญปานหยาดฟ้า บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่น่ารักที่สุด นุ่มนวลที่สุดในโลก

ในดวงตามีความรักอันซาบซึ้งตราตรึงใจ ใบหน้าที่นุ่มนวลสวยสะคราญนี้คล้ายกับใบหน้าของ “มารดา” เหลือเกิน

อาฮุยจำได้อย่างแม่นยำ

“ตอนมารดาข้าพเจ้าจะตายสั่งย้ำแก่ข้าพเจ้าหลายครั้ง เรียกข้าพเจ้าอย่าได้รับบุญคุณของผู้อื่น คำพูดนี้ข้าพเจ้าก็มิเคยลืมตลอดกาล

บัดนี้ข้าพเจ้ากลับค้างชีวิตท่านแล้ว”

 

ภายในความคิดของอาฮุยเมื่ออยู่ในความดูแลของโฉมสะคราญซึ่งช่วยชีวิตมันเอาไว้จึงเป็นบุญคุณ ขณะเดียวกัน มันก็มีความเป็นห่วงต่อสหายของมัน ลี้คิมฮวง

“ตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว” นั่นคือคำถาม

เมื่อได้คำตอบว่า “ยังไม่ถึงยามสาม” อาฮุยตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งทันที ขบกรามกล่าวขึ้นด้วยความคับแค้นใจ

“ข้าพเจ้าไม่อาจปล่อยให้พวกมันพาลี้คิมฮวงไปเด็ดขาด”

“แต่มันได้ไปแล้ว” เป็นคำตอบจากลิ่มเซียนยี้

อาฮุยหงายตึงลงบนเตียงอีกครา เหงื่อแตกโซมราวฝนสาดซัด “ท่านว่ายังไม่ถึงยามสาม”

“แต่ลี้คิมฮวงถูกคุมตัวไปเมื่อตอนเช้าตรู่ของเมื่อวาน”

ความจริงก็คือ อาฮุยสลบไสลจากพลังและฝีมือของซิมไบ๊ไต้ซือ ประสานเข้ากับซิงแซขลุ่ยเหล็กเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

ลิ่มเซียนยี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าแพรบางซับเหงื่อให้อย่างนุ่มนวล

“ท่านบาดเจ็บสาหัสยิ่ง นอกจากท่านแล้ว น่ากลัวไม่มีผู้ใดสามารถทนทานได้ ดังนั้น ท่านตอนนี้จงอยู่ในโอวาทแต่โดยดี ต้องรักษาแต่โดยดี”

ความหมาย หมายความว่าอยู่ในโอวาทของนาง

 

สภาพการดำรงอยู่ของอาฮุยจึงน่าศึกษา ท่านั่งของอาฮุยไม่น่าดูอาฮุยไม่เคยประพฤติเช่นลี้ชิ้มฮัวที่นั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างสุขสบาย

ในชีวิตของอาฮุยน้อยครั้งจะมีโอกาสนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

ภายในห้องก่อไฟเตาหนึ่งให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน อาฮุยกลับรู้สึกไม่คุ้นเคย ลิ่มเซียนยี้ขดตัวอยู่ข้างเตาผิงวงหน้าถูกเตาไฟขับจนแดงสดใส

2 วันมานี้ นางแทบไม่ได้หลับตาลงพักผ่อน

ยามนี้อาการบาดเจ็บของอาฮุยทุเลาหายดีราวปาฏิหาริย์ นางค่อยหลับใหลอย่างวางใจ นางยามนอนหลับคล้ายงามขึ้นกว่าตอนตื่น ขนตางอนยาวปิดคลุมบนเปลือกตา ทรวงอกอันกลมกลึงสะท้อนขึ้นลงอย่างอ่อนโยน วงพักตร์แดงผุดผาดดังดอกท้อ

อาฮุยมองดูนางอย่างสงบ คล้ายเซื่องซึมเซาแล้ว

 

ระหว่างนี้ที่เป็นเบาะแสอย่างสำคัญได้ค่อยก่อรูปและกลายเป็นคำถามแม้กระทั่งต่ออาฮุยโดยตรงเหมือนจะทำให้บังเกิดความสำนึกบางอย่างบางประการ

กระนั้น ก็ยังมิได้ทรง “พลานุภาพ” ได้ระดับนั้น

อาฮุยพลันผุดลุกขึ้น สวมใส่รองเท้าอย่างเงียบงัน ตรงนี้เองที่มีข้อความเหมือนกับบทรำพึงเหมือนกับบทสรุปผุดโพล่งขึ้น

วัตถุเรื่องราวที่งดงาม เฉกเช่นดอกราตรีชั่วแล่น

ปรากฏวูบเดียวก็สิ้นสูญ ไม่ว่าผู้ใดคิดแข็งขืน เหนี่ยวรั้งมันไว้ มีแต่ความปวดร้าวและโชคร้าย

อาฮุยถอนใจเบาๆ

ค้นพบกระบี่ของตัวเองจากโต๊ะที่มุมห้อง บนผนังยังแขวนภาพตัวหนังสือซึ่งเขียนด้วยลายมือของลี้ชิ้มฮัว

มีอยู่ประโยคหนึ่ง คือ “รักนี้เหลือแต่การหวนรำลึก”

เมื่อ 2 วันก่อน อาฮุยต้องไม่เข้าใจความหมายของคำกลอนนี้ แต่ตอนนี้อาฮุยกลับทราบว่า มีแต่การหวนรำลึกจึงเป็นความนิรันดร์อย่างแท้จริง

มีแต่ความหวานชื่นในการหวนรำลึกจึงสามารถคงอยู่ตลอดกาล

 

“โกวเล้ง” สรุปอย่างรวบรัดผ่านสำนวนแปล น.นพรัตน์ ออกมาว่า โลกนี้มีบุรุษที่สามารถกล่าวคำว่า “ไม่” ต่อหน้าสตรีสะคราญโฉมไม่มาก

หากแม้นสตรีบอกว่าจะขอตาย บุรุษที่สามารถปฏิเสธเกรงว่าไม่มีแม้สักคนเดียว

วิกาลเงียบสงบ อาฮุยเดินออกจากห้องก็พบเห็นดอกเหมยสะพรั่งพราวเหนือพื้นหิมะ ที่แท้สถานที่นี้คือ “ตึกน้อยหอมเย็น”

ที่น่าประหลาดคือ 2 วันนี้หมู่ตึกเมฆเรืองโรจน์ถูกก่อกวนจนแทบถล่มทลาย

แต่กลับไม่มีผู้ใดมาถึงที่นี้ หากคนเหล่านั้นต้องการตัวอาฮุย ไฉนไม่ตรวจค้นถึงนี้ คนเหล่านี้ไฉนไว้วางใจลิ่มเซียนยี้ถึงเพียงนี้

เป็นคำถามจาก “โกวเล้ง” ไม่ใช่คำถามจาก “อาฮุย”

ทุกเบาะแสที่กำหนดและปรากฏขึ้นเป็นการจัดวางเอาไว้โดย “โกวเล้ง” ขณะที่ “อาฮุย” สัมผัสไม่ถึง มองไม่ทะลุ