หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๖๒)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๖๒)

 

เมื่อวานนี้เอง ฉันได้ข่าวว่ามีการ Breakthrough ในการสร้างพลังงานฟิวชั่น คือเป็นครั้งแรกที่พลังงานที่ผลิตออกมา มากกว่าพลังงานที่ใส่เข้าไป ด้วยการทำฟิวชั่น คือการจำลองพลังงานของดวงอาทิตย์ จึงต้องสร้างเงื่อนไข คือสร้างความร้อน และแรงกดดันมหาศาล การสร้างมันขึ้นนี้ ต้องใช้พลังงานอย่างล้นเหลือ

ข่าวนี้น่าสนใจเป็นอันมาก เพราะเท่ากับว่าโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เพราะมีการคาดเดาว่า Quantum Computing จะใช้งานได้จริง ภายใน ๑๐-๒๐ ปี

หากพลังงานฟิวชั่นใช้ได้จริง ใน ๑๐-๒๐ ปีด้วยเช่นกัน สองนวัตกรรมใหม่นี้จะมีผลต่อโลกอย่างใหญ่หลวง

เท่ากับว่าในวัย ๘๐-๙๐ ของฉัน ฉันอาจจะได้เห็น

และมันยังเป็นครึ่งแรกของศตวรรษที่ ๒๑ เท่านั้นเอง

บัดนี้โลกพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่

Analog

Digital

Quantum

เท่ากับโลกนี้จะเริ่มแบ่งแยกชัดเจน ถึงการเปลี่ยนยุค

และมันจะทันการณ์พอดี กับสภาวะโลกร้อน

เรามีโอกาสรอดมากขึ้น

 

เคยมีคนเขียนเป็นทฤษฎีไว้ว่า อารยธรรมของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในจักรวาลนี้ มี 7 ระดับ และมนุษย์เพิ่งมาถึงระดับ 0.72 เท่านั้นเอง เรียกว่ายังไม่ถึงระดับ 1 เลย

ระดับ 2-7 ฉันอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ด้วยว่ามันไกลเกินฝัน

มันอาจจะไม่จริงก็ได้

แต่ 1 นี้ ด้วยเพราะมันใกล้ มันเป็นจริงได้ ตัวกำหนดที่แท้จริงก็คือสองสิ่งนี้เอง

Quantum Computing

พลังนิวเคลียร์ฟิวชั่น

การทำงานได้จริง จะเปลี่ยนมนุษย์อย่างไพศาล

เรามีโอกาสรอดมากขึ้น

เหมือนเรากำลังจะจมน้ำในทะเลเวิ้งว้าง บัดนี้ เรามาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ที่เราสามารถว่ายขึ้นไปพัก และสำรวจหาความอยู่รอดต่อไป หากโชคร้าย บนเกาะนี้หาอาหารใดไม่ได้เลย เราก็ตายอยู่ดี

การมาถึง 1 นี้ ทำให้มนุษย์สามารถคิดถึงอนาคตได้

แต่เราจะรอดจริงหรือไม่ ก็ยังเป็นปัญหา

 

หากเราไปไม่ถึง 1 เราคงรอดยาก

เพราะระบบทั้งมวลที่เรามีอยู่นี้ จะเสียก่อน

ระบบดิจิทัลที่ทำงานให้มนุษย์มาอย่างมากมาย แต่ทว่า หากไม่มีพัฒนาการ ข้อเสียของมันจะท่วมตัวมัน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีประโยชน์ ขยะ ข่าวปลอม สิ่งเหล่านี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนระบบจะทำงานต่อไปไม่ได้

มนุษย์จึงเหมือนบุรุษผู้ขี่หลังเสือ เราลงไม่ได้ ต้องพัฒนาต่อไป

อารยธรรมของมนุษย์ถูกออกแบบมาอย่างนี้แต่ต้น มันกลายเป็นเงื่อนไข ข้อบังคับ

เราเปลี่ยนแปลงข้อบังคับไม่ได้เลย

เหนือกว่าดิจิทัล ก็คือควอนตัม มันบังคับให้เราต้องไปถึง

ไม่เคลื่อนสู่ควอนตัม เราก็ตาย เพราะดิจิทัลจะเสีย

 

จุดนี้เองที่น่าสนใจ ว่ามนุษย์โบราณบางกลุ่มจะไปไหน จะไปด้วยกับโลกสมัยใหม่นี้ได้ไหม หรือต้องดับสูญ

กลุ่มคนโบราณต่อไปนี้

กลุ่มความคิดแบบพุทธ

กลุ่มความคิดแบบคริสต์

กลุ่มเต๋า

กลุ่ม Stoics

กลุ่ม Cynics

แท้จริงกลุ่มมนุษย์โบราณเหล่านี้ ล้วนมีคุณค่า แต่ทว่า พวกเขาจะดับสูญไหม ในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมาก เมื่อโลกของเราอุดมไปด้วย

Quantum Computer

พลังนิวเคลียร์ฟิวชั่น

ซึ่งจะเหนือกว่าพลังงานปัจจุบันที่เรามีอยู่นี้ นับล้านเท่า

ทุกกลุ่มข้างต้น ล้วนเข้าถึงสัจธรรมบางอย่างของโลก หากแต่ทว่า มันเชื่องช้า คำถามคือมันจะทันการณ์ไหม มันจะช้าเกินไปไหม หรือว่ามันก็จะยังใช้ได้ดีอยู่ ด้วยเพราะมันคือ ค่าคงที่ สิ่งที่ไม่รู้ตาย วิธีคิดคือ เราต้องมองดู

Analog

Digital

Quantum

ไม่ได้หมายความว่า สิ่งหนึ่งเกิด อีกสิ่งต้องดับสูญ

เช่น ระบบดิจิทัลจะทำงานดีเพียงไร แต่ Analog บางตัวก็ยังทำงานได้อย่างไร้ที่ติ ไม่มีสิ่งใดจะทดแทนมันได้ เช่น ช้อนกับส้อม หรือตะเกียบ ไม่มีความทันสมัยอื่นใดจะแทนที่มันได้

เรายังกินข้าวด้วยช้อนและส้อม หรือตะเกียบ ไม่ว่าสิ่งเหล่าอื่นจะถูกค้นคิดมามากเท่าไร

 

มนุษย์โบราณเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่คือบุคคลผู้ใช้ชีวิตอยู่ในคุณงามความดี การใช้ชีวิตสอดคล้องกับธรรมชาติ มีเหตุผล มีความสุขกับวินัย มีความสุขกับการฝึกฝน เพื่อจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เดินสายกลาง

ปฏิเสธกิเลสตัณหา ปฏิเสธการสะสมทรัพย์สมบัติ ปฏิเสธการสั่งสมอำนาจ

ไม่ยึดมั่นในการอนุรักษ์แบบตายด้าน

สรุปคือทุกคนล้วนมีชีวิตที่อิสระ และเรียบง่าย

มันดีพร้อมถึงปานนี้ ทำไมจึงยังมีคำถาม ยังมีข้อสงสัย ว่าพวกเขาจะดับสูญไหม

ด้วยนี้คือความน่ากลัวของพลังนับแสนนับล้านเท่า ของปัจจุบัน

มันท่วมท้น ใหญ่หลวง ซับซ้อน จนสมองของเราคิดไม่ทัน ทำตัวไม่ถูก

แต่นี้คือสงครามครั้งใหม่ระหว่างมนุษย์ กับการดำรงอยู่

เราจะอยู่อย่างไรให้รอดได้

 

คําว่าช้า ในความหมายของฉันคือ เช่น ชาวพุทธท่านนี้ แทนที่จะมาสู้กับผีสางนางไม้ อำนาจเวทมนตร์ คาถา หรือเจ้าแม่กวนอิม กวนอู เขาควรข้ามสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ด้วยเพราะพลังของ Quantum กวาดล้างสิ่งเหล่านี้รวมทั้งตัวพุทธเองด้วย กวาดออกไปหมดพร้อมกัน หากชาวพุทธท่านนั้นไม่ปรับตัว

ชาวพุทธท่านนั้น จึงต้องเข้าถึง Quantum และไปไกลกว่านั้น

เข้าถึงโดยศีล สมาธิ และปัญญา

สำรวจด้วยฌานสมาบัติ เรียกว่าตรวจสอบเร็วกว่าแสงเลเซอร์ ยิ่งกว่า MRI เข้าลึกไปในดวงจิตมนุษย์ เข้าลึกในสมองคนอื่น แม้ในใจกลางโลก พลิกเปลี่ยนนาม-รูป เหมือนโยนลูกเต๋า

มันต้องรวดเร็วปานนี้

หากไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้ใกล้เคียง

ในถ้ำลี้ลับนับหมื่นล้านบนโลก ไม่เห็นหมด ก็เห็นบ้างบางถ้ำ

มองทะลุทะลวงเข้าไปในอนุภาคควอนตัม ซึ่งก็คือความเป็นอนิจจัง นี้คือการเข้าไปถึงอนัตตาของสสาร

หรือชาวคริสต์ท่านหนึ่งจะยังเชื่อว่า กาลเวลาเป็นสิ่ง Absolute ไม่แปรเปลี่ยนไม่ได้ ด้วยเพราะกาลเวลาถูกพิสูจน์โดยไอน์สไตน์มาแล้ว ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ หรือที่เรียกว่ากาลอวกาศ มันแปรเปลี่ยนได้ เป็นอีกหนึ่งมิติ นี้คือความรู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ยี่สิบ และส่งผลกว้างใหญ่ดั่งระลอกคลื่น

พระเจ้าก็ยังมีอยู่ได้ หากแต่ไม่ได้นั่งอยู่บนกาลเวลาอันสัมบูรณ์

จะเหนือจิต เหนือสมองมนุษย์ปานใดก็ได้ แต่อย่าฝืนความรู้พื้นฐานบางอย่าง มันต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ขัดกัน

ขึ้นชื่อว่าเป็น God ก็ต้องรับมือกับควอนตัมและพลังฟิวชั่นได้อยู่แล้ว สบายมาก

 

ฉันอ่านทฤษฎีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในจักรวาลทั้ง ๗ ระดับ แล้วพบว่า ระดับ ๒-๗ ล้วนเรียกได้แล้วว่า พวกเขาคือ God

เท่ากับว่า พ้นระดับ 1 ขึ้นไป ก็เข้าสู่พรมแดนของพระเจ้า มีการแบ่งระดับชั้น ล้วนมีพลังอำนาจเหลือคณา และชีวิตเข้าสู่ความเป็นอมตะ

พระเจ้า จองชั้น ๒ ถึงชั้น ๗ ไว้เรียบร้อยแล้ว

เรามนุษย์ปุถุชน ล้วนอยู่ชั้น ๑

หากเรารอด เราต้องอยู่ชั้น ๑ นี้ไปนาน อีกเป็นหมื่นปี หรือแสนปี

เราอาจไม่มีวันไปเกินระดับ ๑ นี้

ด้วยไปไม่ไหว หรือไม่อยากไป

เพราะชั้นอื่น มี God จองไว้แล้ว

 

๑๐

กลุ่มเต๋า

Stoics

Cynics

สามกลุ่มนี้ คล้ายจะเล็ก แต่ลึกล้ำยิ่งนัก เรียกได้ว่า ใช้ได้ไม่สิ้นสุด

มันมีความแตกต่างในรายละเอียดบางอย่าง เหมือนรสชาติของอาหาร แต่โดยรวมก็เหมือนกัน คือเก่าแก่ โบราณ แต่ทว่า คงทน ถาวร

ฉันรัก Stoics เป็นอันมาก เรียกว่าเลื่อมใส

ในสมัยเด็ก ฉันไม่มีความเป็น Cynics แม้แต่น้อย แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามอายุของฉัน

เหมือนอาหารชนิดนี้ สมัยเด็กฉันไม่ชอบเลย เพราะมันมีรสขม แต่ทว่า เมื่ออายุมากขึ้น กลับชอบรสขม

ยิ่งกิน ยิ่งอร่อย