รวมไทย-รวมทาส มุขอำจาก ส.ว. | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

มุขเล่นผวนคำ ชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ กลายเป็นมุขที่ฮิตกันไม่น้อยในแวดวงการเมือง ทำเอาพรรคการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย้ายเข้าสังกัด เพื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ โดนอำกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง เรียกชื่อพรรคด้วยคำผวนกันสนุกสนาน

ส.ว.ที่เล่นมุขนี้ก็คือ นายวันชัย สอนศิริ ซึ่งโพสต์เฟซบุ๊กจนกลายเป็นประเด็นข่าว

โดยบอกว่า ลองเอาชื่อพรรคการเมืองมาบวกเลขผวนคำดู ว่าพรรคไหนเป็นอย่างไร ไปสะดุดใจตรงที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อเอาชื่อพรรคมาผวนคำแล้วพิลึกพิลั่นกว่าพรรคอื่นๆ เช่น พรรคเพื่อไทย ผวนคำเป็นไพเทื่อ พรรคภูมิใจไทย เป็นไพใจทูม ประชาธิปัตย์ ก้าวไกล ไทยสร้างไทย ผวนไม่ได้ ขณะที่พลังประชารัฐ ผวนเป็นพะรัดประชารัง ส่วนชาติไทยพัฒนา เป็นชาดทาพัดทะไน

แต่พรรคที่แปลกมหัศจรรย์พันลึกคือรวมไทยสร้างชาติ ผวนแล้วเป็น รวมทาสสร้างชัย หมายความว่าอะไร ชื่อตรงและคำผวนเป็นมงคลหรือไม่ จะรวมทาสไปสู้รบตบมือหรือกระไร มันทำไมเป็นเช่นนี้ ดูหน้าดูหลัง ตรวจดวงชะตากันมาหรือยัง เห็นคนเอามาพูดกันเยอะว่า รวมทาสไปสร้างชัย รวมไทยไปสร้างชาติ มันจะไหวหรือ

หลายคนอ่านแล้วมีความเห็นว่า ท่าทีจาก ส.ว.วันชัย ช่างไม่เกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ บ้างเลย

อีกทั้ง ส.ว.ชื่อดังรายนี้ ก็ถือว่าเป็นระดับแกนนำของวุฒิสมาชิกคนหนึ่ง

เคยออกมายอมรับว่า ตนเองเป็นคนที่ผลักดันให้ใส่ประเด็นสำคัญในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้

นั่นคือ การให้อำนาจ 250 ส.ว.ในช่วง 5 ปีแรก สามารถร่วมโหวตแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้ และเป็นหนึ่งในหัวข้อในการทำประชามติรับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ด้วย

มีคลิปที่ ส.ว.วันชัยกล่าวอย่างภูมิอกภูมิใจว่าตนเองนี่แหละคือคนเขียนประเด็นให้อำนาจ 250 ส.ว.นี้ ในรัฐธรรมนูญ

จึงกล่าวได้ว่า เป็น ส.ว.ระดับคีย์แมน ที่ร่วมจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์และกลุ่มแกนนำ คสช. ได้สืบทอดอำนาจต่อ หลังการเลือกตั้ง 2562 ภายใต้กติกาพิสดาร ให้อำนาจ ส.ว.อยู่เหนือเสียงประชาชนที่ไปเลือกตั้ง ส.ส.

ในปี 2562 ร่วมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อย่างเต็มที่

แต่มาวันนี้ ส.ว.วันชัย กลับแสดงท่าทีไม่เกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์อะไรอีกแล้ว

ด้วยการเล่นมุขคำผวนชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปเป็นผู้นำชิงเก้าอี้นายกฯ

 

การเดินหน้าต่อในทางการเมือง เตรียมลงสนามเลือกตั้ง 2566 เพื่อเป็นผู้ชิงเก้าอี้นายกฯ ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น อันที่จริงสร้างความแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมไม่ตัดสินใจหยุดเส้นทางการเมืองในสมัยนี้

เพราะจริงๆ ก็เป็นนายกฯ มาแล้ว 8 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่มีในตัวนักการทหาร ทำให้ตลอดเวลาที่ครองเก้าอี้นายกฯ ไม่เคยสร้างความประทับใจในด้านปากท้องประชาชน

ความจริงถ้าหยุดเสียในสมัยนี้ ก็ยังพอลดเสียงโจมตีลงได้

เป็นการกลับบ้านไปเลี้ยงหลานอย่างสบายอกสบายใจได้ในระดับหนึ่ง

แถมการลงชิงนายกฯ ในการเลือกตั้งหนนี้ ยังมีประเด็นที่ลดทอนตัวเอง เพราะเมื่อยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี เท่ากับว่า ในสมัยหน้าจะมีวาระดำรงตำแหน่งได้แค่ 2 ปี หรือครึ่งเทอม

แต่ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ยังคิดจะไปต่ออีก แถมยังต้องบาดหมางกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนต้องย้ายออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสังกัดพรรคใหม่

เชื่อได้ว่าเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยากจะเล่นการเมืองต่อ ก็คือ กลไกอำนาจ 250 ส.ว. ที่เขียนเอาไว้ล่วงหน้า ทำให้ยังมีอำนาจโหวตตั้งนายกฯ ได้ถึง 2 สมัย

เพราะการกำหนดให้ ส.ว.ชุดนี้มีอายุ 5 ปี และเป็น 5 ปีที่สามารถร่วมโหวตชี้ขาดนายกฯ ได้ ในขณะที่อายุสภาและรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งปี 2562 นั้น จะอยู่ได้เพียง 4 ปี

เท่ากับเพิ่มอำนาจและเวลาให้กับ 250 ส.ว.ชุดนี้ไปเป็นปีที่ 5 ก็คือ ปีที่มีการเลือกตั้งใหม่และตั้งรัฐบาลใหม่ เท่ากับวางเอาไว้แล้วว่า 250 ส.ว.สามารถตั้งนายกฯ ได้อีกครั้ง

จากกลไกที่สร้างเอาไว้เพื่อเอารัดเอาเปรียบล่วงหน้าดังกล่าว น่าจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์รู้สึกว่า อุตส่าห์วางแผนเอาไว้นานแล้ว ไม่ควรปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

จึงตัดสินใจจะชิงนายกฯ อีกสมัย ด้วยยังมีโอกาสใช้กลไกที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา

เพียงแต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ สถานการณ์แปรเปลี่ยนไปหลายอย่าง

ไม่มีเอกภาพระหว่าง 2 ป.อีกแล้ว เพราะต่างคนต่างเดิน ต่างอยู่กันคนละพรรค และกลายเป็นต่างคนต่างลงชิงเก้าอี้นายกฯ ในฐานะแคนดิเดตของคนละพรรค

การแตกขั้วของ 2 ป. ย่อมส่งผลให้เสียง 250 ส.ว.แตกออกเช่นเดียวกัน โดยจำนวนครึ่งวุฒิสภา ถือได้ว่าเป็นขั้วของ พล.อ.ประวิตร ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์มี ส.ว.อยู่ไม่ถึงครึ่ง

ดังนั้น กลไก 250 ส.ว.จึงไม่ใช่ฐานเสียงที่หนักแน่นสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์อีกแล้ว!

 

อาจจะกล่าวได้ว่า กรณี ส.ว.วันชัย สอนศิริ ที่ออกมาเล่นมุขอำชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปเป็นผู้นำชิงเก้าอี้นายกฯ โดยเล่นคำผวนชื่อรวมไทยสร้างชาติ กลายเป็นพรรครวมทาสสร้างชัย แถมให้ความเห็นอีกว่า ตั้งชื่อพรรคไม่เป็นมงคลนั้น

เป็นท่าทีจาก ส.ว. ที่ไม่ได้รักใคร่เกลียวกลมกับ พล.อ.ประยุทธ์อีกเหมือนเดิม

ทั้ง 250 เสียงของ ส.ว.ไม่ใช่เสียงตาย ไม่ใช่เสียงที่จะโหวตชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างพร้อมเพรียงไม่มีแตกแถว เหมือนเมื่อปี 2562 อีกแล้ว

ลอง ส.ว.แสดงท่าทีไม่เกรงใจไม่ไว้หน้า พล.อ.ประยุทธ์ ก็ถือเป็นสัญญาณที่เห็นได้ประการหนึ่ง

ขณะเดียวกัน แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะให้สัมภาษณ์เสมอๆ ว่า 3 ป.ไม่มีวันแตกกัน และ พล.อ.ประวิตรก็พูดจาทำนองเดียวกัน

แต่ในทางปฏิบัติ ที่ 2 พรรคเริ่มช่วงชิง ส.ส.แบบตัดหน้ากัน รวมทั้งบิ๊กป้อมและบิ๊กตู่ลงพื้นที่หาเสียงแบบปาดหน้ากัน

เหล่านี้สะท้อนว่า ที่ยืนยันว่ายังรักกันเหมือนเดิมนั้น คงเป็นไปไม่ได้

อีกทั้งยังเป็นที่รู้กันว่า จุดเริ่มต้นของปัญหา มาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มรู้สึกว่า ตนเองกุม ส.ส.ในพลังประชารัฐไม่ได้ จึงไปเอ่ยปากขอ พล.อ.ประวิตรว่า ในสนามเลือกตั้ง 2566 นี้ จะขอเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเอง เมื่อ พล.อ.ประวิตรท้วงติงว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้สร้าง ส.ส.พรรคนี้เอง จู่ๆ จะมานั่งหัวหน้าก็อาจจะคุมไม่ได้

สุดท้าย พล.อ.ประวิตรเสนอว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตนเองจะเป็นประธานพรรค เพื่อช่วยดูแล ส.ส.ให้

เป็นคำตอบที่ พล.อ.ประยุทธ์มองว่า เท่ากับ พล.อ.ประวิตรยังจะมีสถานะสำคัญในพรรคนี้ ทำให้การเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็หมดความหมาย

จึงตัดสินใจโบกมือลา ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ

แม้ในทางภายนอกจะยืนยันรักกันดี แต่ในทางปฏิบัติก็เห็นได้ชัดว่า คงไปต่อด้วยกันยาก

เมื่อ 2 ป.ไม่เหนียวแน่นดังเดิม เริ่มต้องหันมาแข่งกันเอง ย่อมส่งผลถึง 250 ส.ว.ต้องแบ่งครึ่งไปด้วยเช่นกัน

แล้วนี่ก็อาจเป็นคำอธิบาย การที่ ส.ว.คนดังเล่นมุขอำชื่อพรรครวมไทย เป็นรวมทาส อย่างสนุกสนาน อันถือได้ว่าเป็นท่าทีส่วนหนึ่งของ ส.ว.ที่เปลี่ยนไป

การเลือกตั้ง 2566 นี้ หลายอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้วสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์!!