อหังการ 3 ป. ยุคก่อนอวสาน | เหยี่ยวถลาลม

เห็นภาพประชันขันแข่งกันลงพื้นที่ของ 2 ป. “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” กับ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แล้วให้รู้สึกยินดีผสมขมขื่น

ท่วงท่าอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ น้องๆ ลูกๆ หลานๆ ทหารรุ่นหลังควรบันทึกเก็บไว้ในความทรงจำ

ภาพของ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค “พลังประชารัฐ” ที่แต่งองค์ทรงเครื่องมีสีสัน นุ่งกางเกงยีนส์ สวมเสื้อเชิ้ตสีแดง คลุมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีเขียว สวมรองเท้าผ้าใบ ในท่วงท่าทะมัดทะแมง รายล้อมด้วยบริวารที่ต่างพึงระวัง (นาย) ล้ม ตะลุยพื้นที่เยาวราช ไปไหว้ศาลเจ้าแม่กวนอิม เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 22 มกราคม

ภาพของ “ประยุทธ์” ลงพื้นที่เยาวราชในตอนเย็น ไปวัดเล่งเน่ยยี่ กับศาลไต้ฮงกง

2 ภาพ จาก 2 ผู้นำทรงอิทธิพลในชุมชนไทย กำลังสื่อสารอะไรกับประชาชน

 

พล.อ.ประยุทธ์ อดีตหัวหน้า คสช. “ผู้นำรัฐประหาร” และนายกรัฐมนตรีต่อเนื่อง เปลี่ยนลุค สวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีชมพู คลุมทับด้วยสูทลำลองสีเทาน้ำเงิน มีการปรับปรุงท่วงท่าใหม่ทำให้ดูคล้ายๆ ติดดิน เข้าถึงง่าย ยิ้มแย้มแจ่มใสมีอัธยาศัยไมตรี พรั่งพร้อมห้อมล้อมด้วยแกนนำพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่สดๆ ร้อนๆ ชื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” (ขอร้องว่าอย่าผวน)

เป็นที่น่าสังเกตว่าในเดือนมกราคมนี้ “ประวิตร” กับ “ประยุทธ์” ลงพื้นที่อย่างมีนัยยะทางการเมือง 3 ครั้งคือ วันที่ 17 ที่ราชบุรี วันที่ 20 ที่นครสวรรค์ และวันที่ 22 ที่เยาวราช

แต่ไปคนละครั้งคนละคราว

และทุกที่ “ประวิตร” เป็นเสือปืนไว ไปถึงก่อน “ประยุทธ์” ซึ่งชักช้า (ในเรื่องสำคัญ)!

ขาเมาธ์จึงตั้งประเด็น “บิ๊กป้อมปาดหน้า”!

จะว่าไปแล้วการเมืองเป็น “งาน” ซึ่งผู้ลงสนามจะต้องแข่งกันทำ เริ่มตั้งแต่แข่งกันลงพื้นที่เพื่อได้สัมผัสรับรู้เรื่องจริง เข้าถึงและเข้าใจในปัญหาสารพัดของผู้คนกับสภาพสังคมที่เป็นอยู่จริง

การทำงานการเมืองจึงต้องระดมคนเข้าร่วมค้นคว้าศึกษา ร่วมรังสรรค์นโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ของประเทศ พร้อมทั้งยังมีความจำเป็นอันขาดเสียมิได้ที่จะต้องมีการรณรงค์โฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างคะแนนให้ตัวเองและหมู่คณะ

การปะทะแข่งขันระหว่าง “พลังประชารัฐ” ของพี่ใหญ่ ป-ประวิตร กับ “รวมไทยสร้างชาติ” ของ ป-ประยุทธ์ ซึ่งยัง “อยากจะไปต่อ” ก็เป็นเรื่องปกติ

ที่ไม่ปกติ และน่ารังเกียจคือการรัฐประหาร!

การช่วงชิงแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองถึงขั้น “ปล้นชิง” กันนั้นเป็นธรรมชาติในด้านป่าเถื่อนของมนุษย์ที่ผิดยุคผิดสมัย

การลงพื้นที่ของ “ประวิตร” กับ “ประยุทธ์” ในวันนี้ จึงควรได้รับการต้อนรับและปรบมือให้

 

แต่ก็ต้องไม่ลืม “อีกภาพ” หนึ่ง

ภาพที่ “3 ป.” ร่วมกันก่อ “มรดกบาป”!

รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อันน่าละอาย

ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศทุกด้าน การทุจริตคอร์รัปชั่นหนักหน่วง คุณภาพการศึกษาแย่ คุณภาพชีวิตตกต่ำ ยาเสพติดระบาดหนัก สภาพสังคมเสื่อมทราม ความเหลื่อมล้ำรุนแรง จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นทวีคูณ

มิพักต้องกล่าวถึง “ระบบยุติธรรม” ที่ศรัทธาเสื่อมทรุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!

มาถึงวันนี้ ไม่ว่า “ประวิตร” และ “ประยุทธ์” จะมีความสำนึกหรือไม่ก็ตาม ขอให้ทหารหนุ่มๆ รุ่นลูกรุ่นหลานมอง “ภาพการเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยด้วยความฉลาดว่า การเมืองเป็นเรื่องการแข่งกันเสนอตัว เสนอความคิดและแนวทางปฏิบัติ เพื่อที่จะบรรลุสู่ความผาสุกของประชาชนและการพัฒนาของประเทศในทุกด้านรวมทั้งความมั่นคง

การเมืองไม่ใช่แหล่ง “ขุมทรัพย์” หรือผลประโยชน์ที่หมู่คณะนายทหารจะสั่งเคลื่อนกำลังพลและอาวุธของกองทัพเข้าไปช่วงชิงยึดเอามา

“รัฐประหาร” เป็นความผิดทางอาญาร้ายแรงที่มีโทษถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ซึ่งจากประวัติศาสตร์นั้น “ข้าราชการที่ไม่มีปืน” และ “ไม่มีกองกำลัง” ไม่สามารถจะก่อการได้

มีแต่ “นายทหาร” จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่นำพากำลังพลออกไปปฏิบัติการกล้าตาย

ดังนั้น ถ้าจะเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องลงไปเดินบนถนน ไปเดินตลาด ไปชุมชน ไปพบปะผู้คนทุกระดับชั้น อย่าถนัดแต่นั่งสมคบคิดกับมหาเศรษฐีหรือนายทุนผูกขาดในห้องแอร์หรือคลับเฮาส์สนามกอล์ฟ

จะเป็น “นักการเมือง” จะต้อง “ตอบคำถาม” …คุณเป็นตัวแทนของใคร คนกลุ่มใด จะทำประโยชน์อะไรให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และประเทศชาติจะได้อะไร

การเมืองจึงไม่ใช่แค่เรื่องทะเยอทะยานอยากแล้วชักชวนพรรคพวกไปปล้นชิงมา!

 

“จาซินดา อาร์เดิร์น” อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ กล่าวเอาไว้ดีมากๆ ว่า

“ฉันลาออก เพราะตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่นั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง”

“อาร์เดิร์น” ลาออกจากนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์และประกาศไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า พร้อมกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ให้นักการเมืองไม้ใกล้ฝั่งได้ฉุกคิดว่า “…จะต้องรู้ตัวว่า เมื่อไหร่คุณคือคนที่ใช่ และเมื่อไหร่ที่คุณไม่ใช่”

สำหรับประเทศไทย สนามเลือกตั้งในปี 2566 ยังคงคึกคักไปด้วยนักการเมืองที่เป็น “ไม้ใกล้ฝั่ง”

จะเปลี่ยนไปก็แต่ “3 ป.” ที่ไม่เหมือนเดิม

ป-ป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา อยู่ในวงจรอำนาจนานจนล้นเกิน คงรูดม่านปิดฉาก

“ป-ประวิตร” พี่ใหญ่ใจถึงพึ่งได้ ยังนั่งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” พลังประชารัฐ ถึงท่วงท่าเดินจะขัดๆ ไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนน้องๆ แต่พี่ยังไม่ทันล้ม-อย่าข้าม!

“ป-ประยุทธ์” ถึงจะ “ชักช้า” กว่าพี่ใหญ่ในเรื่องสำคัญๆ แต่ท่วงท่าเดินก็โชว์ความคล่องแคล่วว่องไวกว่า การเข้าร่วมพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มากไปด้วย “อดีต กปปส.” ยิ่งเสียกว่าคำประกาศ

ชัดเจนว่า “อยากไปต่อ” ใจจะขาด

แต่วันนี้ต่างกับวันนั้นที่ “พลังประชารัฐ” กับ “250 ส.ว.” เคยร่วมกันยกมือให้ “ป-ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรี (ต่อเนื่อง)

หลังจากวันนี้ไป คำกล่าวของ “ประวิตร” กลางสภาคงจะได้รับการตีแผ่ให้มี “ความหมายทางการเมือง” มากยิ่งขึ้น

“เรื่องปฏิวัติรัฐประหาร ผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง คนปฏิวัตินี่! ท่านนายกฯ นี่คนเดียว ท่านอนุพงษ์ก็ไม่เกี่ยวข้อง ผมยังไม่รู้เลยจะปฏิวัติเมื่อไหร่ 3 ป. 3 เปอร์อะไรพูดไปเรื่อย”

วันนี้ต่างคนต่างเดิน!?!!