ความอับจน ยิ่งยวด ภายใน วงล้อม เสียวลิ้มยี่ ของ เซี่ยวลี้ปวยตอ

บทความพิเศษ

 

ความอับจน ยิ่งยวด

ภายใน วงล้อม เสียวลิ้มยี่

ของ เซี่ยวลี้ปวยตอ

 

ชะตากรรมของลี้คิมฮวงจึงนอกจากจะขึ้นต่อ 1 ความเป็นความตายของซิมไบ๊ไต้ซือ 1 บทสรุปจากซิมโอ้วไต้ซือ เจ้าอาวาสแล้ว

ยังขึ้นอยู่กับ 1 แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง และ 1 ชิกซือตี๋ ศิษย์ผู้น้องคนที่เจ็ด

ในวงพวกนักเลงต่างทราบ เสียวลิ้มเป็นสำนักมาตรฐาน ที่ถือเป็นสำคัญคือหมัดฝ่ามืออันเข้มแข็ง ไม่ยอมใช้อาวุธลับหรือพิษเป็นอันขาด

มีแต่ “ซิมก่ำไต้ซือ” เท่านั้นที่ปวารณาตัวเป็นศิษย์เสียวลิ้มในวัยกลางคน

โดยมีวิชาฝีมือติดตัวมาด้วย ก่อนเข้าสำนักเสียวลิ้มยี่ ผู้คนตั้งสมญาเป็น “ชิกค่าจือเซ็ง” (บัณฑิตเจ็ดประณีต) ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษยิ่งใหญ่อีกด้วย

ดังที่ น.นพรัตน์ ถอดความออกมา

ชาวยุทธจักรล้วนทราบว่าเสียวลิ้มยี่เป็นสำนักค่ายมาตรฐาน ฝึกปรือเพลงหมัดเข้มแข็งแกร่งกร้าว

ย่อมไม่ใช้อาวุธลับแพร่พิษ

มีแต่ศิษย์อันดับ 7 ฉายา “ซิมก่ำไต้ซือ” ที่ฝึกปรือฝีมือมาก่อน ภายหลังค่อยบวชเป็นหลวงจีนก่อนที่จะเข้าสู่เสียวลิ้มยี่

ได้รับขนานนามเป็น “ฉิกคาจื่อเซ็ง” (นักศึกษาเจ็ดประณีต) เป็นผู้ชำนาญการใช้พิษ

 

การวิเคราะห์ การสรุปความเห็นของซิมก่ำไต้ซือจึงมีน้ำหนักและสร้างความมั่นใจให้กับซิมโอ้วไต้ซือเป็นอย่างสูง

ท่าทีของซิมก่ำไต้ซือจึงสมควรให้ความสนใจ

เห็นซิมก่ำไต้ซือหน้าสีเหลืองซีด แฝงแววอมโรคชั่วนาตาปี แต่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววับ

กวาดกราดผ่านหน้าลี้ชิ้มฮัวดุจสายฟ้า กล่าวเสียงทุ้มหนัก

“ยี่ซือเฮีย (ศิษย์ผู้พี่ที่สอง) ถูกพิษโง้วตั๊กจุ้ยเจีย (หยดน้ำผลึกเบญจพิษ) ที่เจ้าของถ้ำสุขนิรันดร์ดินแดนแม้วปรุงกลั่นขึ้น วัตถุนี้ไร้สี ไร้รส ใสราวหยดน้ำผลึก หากผู้ที่ถูกพิษไม่ได้รับยาขจัดผิวกายทั่วร่างจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใสราวแก้วผลึก

แทบมองเห็นอวัยวะภายใน เมื่อถึงเวลานั้นแสดงว่าพิษกำเริบสุดที่จะรักษาเยียวยาได้”

แต่สิ่งที่ซิมก่ำไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชากลับอยู่ที่ “อาตมาเพียงทราบว่า ยี่ซือเฮียถูกพิษหยดน้ำผลึกเบญจพิษ แต่คนแพร่พิษเป็นใครอาตมาหาทราบไม่”

“กล่าวประเสริฐ พิษเป็นของตาย คนแพร่พิษกลับมีชีวิต” ตามมาด้วยแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

ไม่ว่าบทสรุปอันมาจากซิมก่ำไต้ซือ ไม่ว่าบทสรุปอันเป็นการตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งมีความแหลมคม

กลายเป็นคำถาม กลายเป็นปม สร้างประเด็น

 

พึงสังเกตว่าระหว่างซิมก่ำไต้ซือ กับแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง คนหนึ่งชง คนหนึ่งขยายและตั้งข้อสังเกต รับลูกในเชิงประสานเหมือนปี่กับกลอง

ปมอันซิมก่ำไต้ซือชูและแป๊ะเฮี่ยวเซ็งทะลวงลึกคือ

“เก็กลักตั่งจู๊แม้มีพฤติการณ์ชั่วร้ายอำมหิต แต่หากคนไม่ไปก้าวร้าวรังควานมัน มันก็ไม่ก้าวร้าวรังควานคนเด็ดขาด สำนักเรากับมันไม่มีพิพาทบาดหมางมันเหตุใดต้องดั้นด้นหนทางไกลหลายพันลี้มาประทุษร้ายยี่ซือเฮีย”

ลี้คิมฮวงถอนหายใจกล่าว “เนื่องเพราะเป้าที่มันเจาะจงมิใช่ซิมไบ๊ไต้ซือ แต่เป็นข้าพเจ้า”

แป๊ะเฮี่ยวเซ็งกล่าวทันที “วาจานี้ยิ่งพิสดารแล้ว คนที่มันต้องการประทุษร้ายคือท่าน ท่านกลับยืนอย่างปกติสุขในที่นี้ มันไม่มีอกุศลจิตต่อซิมไบ๊ไต้ซือ แต่ซิมไบ๊ไต้ซือกลับถูกพิษเสียชีวิต”

จับตาเขม้นมองลี้คิมฮวงแน่วนิ่ง กล่าวต่อไปอย่างช้าๆ “หากท่านสามารถบอกเหตุผลของเรื่องราวนี้มาได้ ข้าพเจ้าก็นับถือท่าน”

หากใครตกอยู่ในจุดของลี้คิมฮวงจะทำอย่างไรได้นอกจากหัวร่อ

“ข้าพเจ้าบอก (เหตุผล) ไม่ออก เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิว่า (จะ) กล่าวกระไร พวกท่านต่างมิแน่จะยอมเชื่อถือ”

ความหวังของมันจึงอยู่ที่ซิมไบ๊ไต้ซือ “พวกท่านไยมิรอให้ไต้ซือได้สติแล้วค่อยถาม”

 

สิ้นข้อเสนอของลี้ชิ้มฮัวเกิด 2 สถานการณ์ขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน 1 เจ้าอาวาสเสียวลิ้มยี่จับจ้องมองลี้ชิ้มฮัว สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบราวคมดาบ

1 ซิมก่ำไต้ซือก็เย็นชาปานน้ำแข็ง กล่าวย้ำทีละคำว่า “ยี่ซือเฮียไม่มีวันฟื้นตื่นมาแล้ว”

หนังสือ “เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า” ตัดฉากจากตอนนี้เข้าสู่บทที่ 20 ว่าด้วย “ใจคนยากจะหยั่งถึง” ด้วยคำบรรยายสะท้อนความรู้สึกของลี้ชิ้มฮัว

ลมหนาวราวมีดดาบ

บนสันหลังคากุฏิที่สุมด้วยหิมะพลันปรากฏนกกาฝูงหนึ่งบินเตลิดขึ้น จากนั้น ที่ห่างไปบังเกิดเสียงระฆังที่กังวาน แต่ชวนวิเวกเสียงหนึ่งดังขึ้น

แม้แต่เสียงระฆังคล้ายไว้อาลัยต่อมรณภาพขององครักษ์พิทักษ์กฎ

ลี้ชิ้มฮัวคล้ายรู้สึกถึงความเหน็บหนาวในสายลมเป็นครั้งแรก ในที่สุด อดส่งเสียงไออย่างรุนแรงออกมามิได้

ในใจไม่ทราบเป็นความเดือดดาล เป็นความเสียใจ หรือเป็นความลำบากใจ

รอจนลี้ชิ้มฮัวไอผ่านพ้นค่อยพบเห็นหลวงจีนจีวรเทาหลายสิบรูปทยอยเดินออกจากนอกประตูตึกเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ใบหน้าของบรรพชิตแต่ละรูปคล้ายผนึกด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง

 

หากประมวลแต่ละถ้อยคำของลี้ชิ้มฮัวตามสำนวนแปลของ น.นพรัตน์ จะสะท้อนให้เห็นความคับแค้นแน่นอยู่ในหัวอกได้เป็นอย่างดี

“ท่านยังมีคำพูดใดจะกล่าว” เป็นถามด้วยเสียงทุ้มหนักจากซิมโอ้วไต้ซือ

“ไม่มีแล้ว” ตามด้วยเงาสะท้อนจาก “โกวเล้ง” อย่างสอดประสาน คำพูดที่กล่าวไปไม่มีประโยชน์ ยังคงอย่าได้กล่าว

“ท่านความจริงไม่สมควรมา” เป็นบทสรุปจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

“อาจบางทีข้าพเจ้าไม่สมควรมา แต่หากเวลาย้อนกลับได้เกรงว่าข้าพเจ้ายังกระทำเช่นนี้ ในชีวิตข้าพเจ้าแม้ฆ่าคนมามากมายสุดคณานับ แต่ไม่เคยเห็นการตายโดยไม่ช่วยเหลือมาก่อน”

“จนบัดนี้ท่านยังคิดแก้ต่างอีก” เจ้าอาวาสกระชากเสียง

“บรรพชิตควรปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่พึงมีโทสาคติ รับทราบมานานว่าไต้ซือเจ้าอาวาสมีตบะสมาธิหนักแน่น ลึกล้ำ ไฉนไม่อาจสะกดกลั้นใจได้”

“รับทราบมานานว่าลี้ท้ำฮวยมีภูมิรอบรู้กว้างขวาง”

เป็นการย้อนหวนทวนสำนวนของลี้ชิ้มฮัวแล้วสำทับตามด้วย “เหตุใดลืมเลือนว่า บางครั้งองค์พระยูไลยังส่งเสียงราชสีห์คำราม”

ท่าทีของลี้ชิ้มฮัวก็สะท้อนการตัดสินใจ

ตัดสินใจด้วยการสำนองตอบด้วยประโยค “อย่างนั้นท่านทั้งหลายเชิญคำรามเถอะ เพียงหวังอย่าได้คำรามจนคอหอยแตก”

ถามว่าลี้ชิ้มฮัวมี “อะไร” อยู่ในมือจึงได้ “หาญกล้า” เพียงนี้

 

ทั้งหมดนี้คือสภาวะตึงเครียดอย่างถึงที่สุดภายในอาณาจักรโบราณที่ขรึมและลี้ลับ พลันเปี่ยมบรรยากาศเหี้ยมอำมหิตจนหนักอึ้ง

หนักอึ้งจากวาจาของซิมก่ำไต้ซือ

“จวบจนบัดนี้ท่านยังจะมาอวดคารมคมกล้า แสดงให้เห็น ไม่มีจิตใจสำนึกผิดแม้สักน้อยนิด ดูท่าวันนี้อาตมาอย่างไรก็ต้องละเมิดศีลปาณาแล้ว”

พร้อมกับสำทับ “อาตมาฆ่าคนเพราะล้างแค้น และเป็นการปราบพิชิตมาร”

น่าสนใจก็ตรงที่สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ถอดออกมาว่า ขณะท่านเพิ่งทำท่าจะโถมเข้ามาพลันมีประกายมีดขึ้นมาวูบหนึ่ง ในมือลี้คิมฮวงมิทราบมีมีดเป็นประกายแวววับมาอีกเล่มหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด

มีดสั้นนี้ เซี่ยวลี้ปวยตอ

ได้ยินลี้คิมฮวงกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน ยังคงอย่าพิชิตมารจะประเสริฐกว่า เนื่องเพราะท่านมิใช่คู่มือข้าพเจ้าแน่นอน”

ซิมก่ำไต้ซือคล้ายดั่งพลันถูกตอกตรึงกับพื้น

ไม่อาจเคลื่อนไหวเลยแม้สักน้อยนิด เนื่องเพราะท่านทราบเพียงขยับตัวเบาๆ เซี่ยวลี้ปวยตอก็จะทะลวงเข้าไปในคอหอยท่านแล้ว

สำทับจากลี้คิมฮวงหนักแน่นและมั่นคง

“วันเวลาแม้ผ่านไม่สบายนัก แต่เสียดาย ข้าพเจ้ายังไม่ถึงเวลาชะตาขาด”

 

อะไรคือความมั่นใจของลี้คิมฮวงทั้งๆ ที่ตกอยู่ในวงล้อมอันแข็งแกร่งยิ่งของยอดฝีมือแห่งสำนักเสียวลิ้มยี่

มองผิวเผินแบบแป๊ะเฮี่ยวเซ็งประเมินว่ามันจะหลบหนี

“ผู้ใดว่าข้าพเจ้าคิดหลบหนี ก่อนความเป็นจริงจะประจักษ์ ขาวดำยังไม่สะสางข้าพเจ้าไหนเลยจะยอมสะบัดหน้าผละไป”

นี่คือปณิธานหาญมุ่ง

เป็นความหาญมุ่งบนฐานแห่งความเป็นจริงที่ว่า “จวบจนบัดนี้ข้าพเจ้ายังคิดหาไม่ออกว่าผู้ใด ‘จะยืนยัน’ ความบริสุทธิ์ให้”

ทางออกเฉพาะจึงเป็น “ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงคิดต้องการสุรา”