ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2566 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
ความอับจน ยิ่งยวด
ภายใน วงล้อม เสียวลิ้มยี่
ของ เซี่ยวลี้ปวยตอ
ชะตากรรมของลี้คิมฮวงจึงนอกจากจะขึ้นต่อ 1 ความเป็นความตายของซิมไบ๊ไต้ซือ 1 บทสรุปจากซิมโอ้วไต้ซือ เจ้าอาวาสแล้ว
ยังขึ้นอยู่กับ 1 แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง และ 1 ชิกซือตี๋ ศิษย์ผู้น้องคนที่เจ็ด
ในวงพวกนักเลงต่างทราบ เสียวลิ้มเป็นสำนักมาตรฐาน ที่ถือเป็นสำคัญคือหมัดฝ่ามืออันเข้มแข็ง ไม่ยอมใช้อาวุธลับหรือพิษเป็นอันขาด
มีแต่ “ซิมก่ำไต้ซือ” เท่านั้นที่ปวารณาตัวเป็นศิษย์เสียวลิ้มในวัยกลางคน
โดยมีวิชาฝีมือติดตัวมาด้วย ก่อนเข้าสำนักเสียวลิ้มยี่ ผู้คนตั้งสมญาเป็น “ชิกค่าจือเซ็ง” (บัณฑิตเจ็ดประณีต) ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษยิ่งใหญ่อีกด้วย
ดังที่ น.นพรัตน์ ถอดความออกมา
ชาวยุทธจักรล้วนทราบว่าเสียวลิ้มยี่เป็นสำนักค่ายมาตรฐาน ฝึกปรือเพลงหมัดเข้มแข็งแกร่งกร้าว
ย่อมไม่ใช้อาวุธลับแพร่พิษ
มีแต่ศิษย์อันดับ 7 ฉายา “ซิมก่ำไต้ซือ” ที่ฝึกปรือฝีมือมาก่อน ภายหลังค่อยบวชเป็นหลวงจีนก่อนที่จะเข้าสู่เสียวลิ้มยี่
ได้รับขนานนามเป็น “ฉิกคาจื่อเซ็ง” (นักศึกษาเจ็ดประณีต) เป็นผู้ชำนาญการใช้พิษ
การวิเคราะห์ การสรุปความเห็นของซิมก่ำไต้ซือจึงมีน้ำหนักและสร้างความมั่นใจให้กับซิมโอ้วไต้ซือเป็นอย่างสูง
ท่าทีของซิมก่ำไต้ซือจึงสมควรให้ความสนใจ
เห็นซิมก่ำไต้ซือหน้าสีเหลืองซีด แฝงแววอมโรคชั่วนาตาปี แต่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววับ
กวาดกราดผ่านหน้าลี้ชิ้มฮัวดุจสายฟ้า กล่าวเสียงทุ้มหนัก
“ยี่ซือเฮีย (ศิษย์ผู้พี่ที่สอง) ถูกพิษโง้วตั๊กจุ้ยเจีย (หยดน้ำผลึกเบญจพิษ) ที่เจ้าของถ้ำสุขนิรันดร์ดินแดนแม้วปรุงกลั่นขึ้น วัตถุนี้ไร้สี ไร้รส ใสราวหยดน้ำผลึก หากผู้ที่ถูกพิษไม่ได้รับยาขจัดผิวกายทั่วร่างจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใสราวแก้วผลึก
แทบมองเห็นอวัยวะภายใน เมื่อถึงเวลานั้นแสดงว่าพิษกำเริบสุดที่จะรักษาเยียวยาได้”
แต่สิ่งที่ซิมก่ำไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชากลับอยู่ที่ “อาตมาเพียงทราบว่า ยี่ซือเฮียถูกพิษหยดน้ำผลึกเบญจพิษ แต่คนแพร่พิษเป็นใครอาตมาหาทราบไม่”
“กล่าวประเสริฐ พิษเป็นของตาย คนแพร่พิษกลับมีชีวิต” ตามมาด้วยแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง
ไม่ว่าบทสรุปอันมาจากซิมก่ำไต้ซือ ไม่ว่าบทสรุปอันเป็นการตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็งมีความแหลมคม
กลายเป็นคำถาม กลายเป็นปม สร้างประเด็น
พึงสังเกตว่าระหว่างซิมก่ำไต้ซือ กับแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง คนหนึ่งชง คนหนึ่งขยายและตั้งข้อสังเกต รับลูกในเชิงประสานเหมือนปี่กับกลอง
ปมอันซิมก่ำไต้ซือชูและแป๊ะเฮี่ยวเซ็งทะลวงลึกคือ
“เก็กลักตั่งจู๊แม้มีพฤติการณ์ชั่วร้ายอำมหิต แต่หากคนไม่ไปก้าวร้าวรังควานมัน มันก็ไม่ก้าวร้าวรังควานคนเด็ดขาด สำนักเรากับมันไม่มีพิพาทบาดหมางมันเหตุใดต้องดั้นด้นหนทางไกลหลายพันลี้มาประทุษร้ายยี่ซือเฮีย”
ลี้คิมฮวงถอนหายใจกล่าว “เนื่องเพราะเป้าที่มันเจาะจงมิใช่ซิมไบ๊ไต้ซือ แต่เป็นข้าพเจ้า”
แป๊ะเฮี่ยวเซ็งกล่าวทันที “วาจานี้ยิ่งพิสดารแล้ว คนที่มันต้องการประทุษร้ายคือท่าน ท่านกลับยืนอย่างปกติสุขในที่นี้ มันไม่มีอกุศลจิตต่อซิมไบ๊ไต้ซือ แต่ซิมไบ๊ไต้ซือกลับถูกพิษเสียชีวิต”
จับตาเขม้นมองลี้คิมฮวงแน่วนิ่ง กล่าวต่อไปอย่างช้าๆ “หากท่านสามารถบอกเหตุผลของเรื่องราวนี้มาได้ ข้าพเจ้าก็นับถือท่าน”
หากใครตกอยู่ในจุดของลี้คิมฮวงจะทำอย่างไรได้นอกจากหัวร่อ
“ข้าพเจ้าบอก (เหตุผล) ไม่ออก เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิว่า (จะ) กล่าวกระไร พวกท่านต่างมิแน่จะยอมเชื่อถือ”
ความหวังของมันจึงอยู่ที่ซิมไบ๊ไต้ซือ “พวกท่านไยมิรอให้ไต้ซือได้สติแล้วค่อยถาม”
สิ้นข้อเสนอของลี้ชิ้มฮัวเกิด 2 สถานการณ์ขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน 1 เจ้าอาวาสเสียวลิ้มยี่จับจ้องมองลี้ชิ้มฮัว สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบราวคมดาบ
1 ซิมก่ำไต้ซือก็เย็นชาปานน้ำแข็ง กล่าวย้ำทีละคำว่า “ยี่ซือเฮียไม่มีวันฟื้นตื่นมาแล้ว”
หนังสือ “เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า” ตัดฉากจากตอนนี้เข้าสู่บทที่ 20 ว่าด้วย “ใจคนยากจะหยั่งถึง” ด้วยคำบรรยายสะท้อนความรู้สึกของลี้ชิ้มฮัว
ลมหนาวราวมีดดาบ
บนสันหลังคากุฏิที่สุมด้วยหิมะพลันปรากฏนกกาฝูงหนึ่งบินเตลิดขึ้น จากนั้น ที่ห่างไปบังเกิดเสียงระฆังที่กังวาน แต่ชวนวิเวกเสียงหนึ่งดังขึ้น
แม้แต่เสียงระฆังคล้ายไว้อาลัยต่อมรณภาพขององครักษ์พิทักษ์กฎ
ลี้ชิ้มฮัวคล้ายรู้สึกถึงความเหน็บหนาวในสายลมเป็นครั้งแรก ในที่สุด อดส่งเสียงไออย่างรุนแรงออกมามิได้
ในใจไม่ทราบเป็นความเดือดดาล เป็นความเสียใจ หรือเป็นความลำบากใจ
รอจนลี้ชิ้มฮัวไอผ่านพ้นค่อยพบเห็นหลวงจีนจีวรเทาหลายสิบรูปทยอยเดินออกจากนอกประตูตึกเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ใบหน้าของบรรพชิตแต่ละรูปคล้ายผนึกด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง
หากประมวลแต่ละถ้อยคำของลี้ชิ้มฮัวตามสำนวนแปลของ น.นพรัตน์ จะสะท้อนให้เห็นความคับแค้นแน่นอยู่ในหัวอกได้เป็นอย่างดี
“ท่านยังมีคำพูดใดจะกล่าว” เป็นถามด้วยเสียงทุ้มหนักจากซิมโอ้วไต้ซือ
“ไม่มีแล้ว” ตามด้วยเงาสะท้อนจาก “โกวเล้ง” อย่างสอดประสาน คำพูดที่กล่าวไปไม่มีประโยชน์ ยังคงอย่าได้กล่าว
“ท่านความจริงไม่สมควรมา” เป็นบทสรุปจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง
“อาจบางทีข้าพเจ้าไม่สมควรมา แต่หากเวลาย้อนกลับได้เกรงว่าข้าพเจ้ายังกระทำเช่นนี้ ในชีวิตข้าพเจ้าแม้ฆ่าคนมามากมายสุดคณานับ แต่ไม่เคยเห็นการตายโดยไม่ช่วยเหลือมาก่อน”
“จนบัดนี้ท่านยังคิดแก้ต่างอีก” เจ้าอาวาสกระชากเสียง
“บรรพชิตควรปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่พึงมีโทสาคติ รับทราบมานานว่าไต้ซือเจ้าอาวาสมีตบะสมาธิหนักแน่น ลึกล้ำ ไฉนไม่อาจสะกดกลั้นใจได้”
“รับทราบมานานว่าลี้ท้ำฮวยมีภูมิรอบรู้กว้างขวาง”
เป็นการย้อนหวนทวนสำนวนของลี้ชิ้มฮัวแล้วสำทับตามด้วย “เหตุใดลืมเลือนว่า บางครั้งองค์พระยูไลยังส่งเสียงราชสีห์คำราม”
ท่าทีของลี้ชิ้มฮัวก็สะท้อนการตัดสินใจ
ตัดสินใจด้วยการสำนองตอบด้วยประโยค “อย่างนั้นท่านทั้งหลายเชิญคำรามเถอะ เพียงหวังอย่าได้คำรามจนคอหอยแตก”
ถามว่าลี้ชิ้มฮัวมี “อะไร” อยู่ในมือจึงได้ “หาญกล้า” เพียงนี้
ทั้งหมดนี้คือสภาวะตึงเครียดอย่างถึงที่สุดภายในอาณาจักรโบราณที่ขรึมและลี้ลับ พลันเปี่ยมบรรยากาศเหี้ยมอำมหิตจนหนักอึ้ง
หนักอึ้งจากวาจาของซิมก่ำไต้ซือ
“จวบจนบัดนี้ท่านยังจะมาอวดคารมคมกล้า แสดงให้เห็น ไม่มีจิตใจสำนึกผิดแม้สักน้อยนิด ดูท่าวันนี้อาตมาอย่างไรก็ต้องละเมิดศีลปาณาแล้ว”
พร้อมกับสำทับ “อาตมาฆ่าคนเพราะล้างแค้น และเป็นการปราบพิชิตมาร”
น่าสนใจก็ตรงที่สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ถอดออกมาว่า ขณะท่านเพิ่งทำท่าจะโถมเข้ามาพลันมีประกายมีดขึ้นมาวูบหนึ่ง ในมือลี้คิมฮวงมิทราบมีมีดเป็นประกายแวววับมาอีกเล่มหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด
มีดสั้นนี้ เซี่ยวลี้ปวยตอ
ได้ยินลี้คิมฮวงกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน ยังคงอย่าพิชิตมารจะประเสริฐกว่า เนื่องเพราะท่านมิใช่คู่มือข้าพเจ้าแน่นอน”
ซิมก่ำไต้ซือคล้ายดั่งพลันถูกตอกตรึงกับพื้น
ไม่อาจเคลื่อนไหวเลยแม้สักน้อยนิด เนื่องเพราะท่านทราบเพียงขยับตัวเบาๆ เซี่ยวลี้ปวยตอก็จะทะลวงเข้าไปในคอหอยท่านแล้ว
สำทับจากลี้คิมฮวงหนักแน่นและมั่นคง
“วันเวลาแม้ผ่านไม่สบายนัก แต่เสียดาย ข้าพเจ้ายังไม่ถึงเวลาชะตาขาด”
อะไรคือความมั่นใจของลี้คิมฮวงทั้งๆ ที่ตกอยู่ในวงล้อมอันแข็งแกร่งยิ่งของยอดฝีมือแห่งสำนักเสียวลิ้มยี่
มองผิวเผินแบบแป๊ะเฮี่ยวเซ็งประเมินว่ามันจะหลบหนี
“ผู้ใดว่าข้าพเจ้าคิดหลบหนี ก่อนความเป็นจริงจะประจักษ์ ขาวดำยังไม่สะสางข้าพเจ้าไหนเลยจะยอมสะบัดหน้าผละไป”
นี่คือปณิธานหาญมุ่ง
เป็นความหาญมุ่งบนฐานแห่งความเป็นจริงที่ว่า “จวบจนบัดนี้ข้าพเจ้ายังคิดหาไม่ออกว่าผู้ใด ‘จะยืนยัน’ ความบริสุทธิ์ให้”
ทางออกเฉพาะจึงเป็น “ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงคิดต้องการสุรา”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022