พลังประชารัฐคือระบอบประยุทธ์ ที่ไม่มีประยุทธ์ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

เป็นฉันทานุมัติแบบไม่เป็นทางการไปแล้วว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

ขณะเดียวกันก็แทบไม่มีใครพูดว่าอยากให้คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ ด้วย ยกเว้นแต่สื่อที่ถูกมองว่าเป็นสายรับงานหรือนักการเมืองสายเลียที่ได้ประโยชน์

คุณประยุทธ์กับคุณประวิตรขัดแย้งจนแยกพรรคและโพสท์จดหมายแฉกัน ถึงแม้จะมีคนบางส่วนอ้างว่าสองคนนี้สนิทกันจนความขัดแย้งเป็นการเล่นละคร แต่ถ้าผัวเมียนอนเตียงเดียวกันยังหย่ากันและยิงกันได้ พี่น้องร่วมสถาบันที่สนิทกันเพราะกินเที่ยวด้วยกันย่อมแยกทางกันได้เป็นธรรมดา

ล่าสุด คุณประวิตรทำถึงขั้นไม่ประชุม ครม.ร่วมกับคุณประยุทธ์

ส่วนคุณประยุทธ์แก้เก้อหลอกสื่อว่าคุณประวิตรป่วย จากนั้นก็ให้โฆษกรัฐบาลปล่อยข่าวว่าคุณประยุทธ์โทร.หาคุณประวิตรเรื่องเหตุที่ลา ครม.

ขณะคุณประวิตรบอกนักข่าวว่าไม่ได้ป่วย, ไม่มีใครโทร.หา และที่ลาเพราะไปธุระตัวเอง

เพื่อให้เห็นความร้าวฉานของทั้งคู่ยิ่งขึ้น ต้องระบุว่า “ธุระ” ที่ทำให้คุณประวิตรไม่ประชุม ครม.ในอังคารที่ 17 มกราคม คือการไปราชบุรีเพื่อเจรจากับ ส.ส.พลังประชารัฐกลุ่ม “บ้านใหญ่” ไม่ให้ย้ายไปพรรคคุณประยุทธ์ซึ่งจะมาลงพื้นที่ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม และได้ดูด ส.ส.จากพรรคคุณประวิตรไปแล้ว 1 คน

เมื่อใดที่เฒ่าวัย 78 โดดงานแล้วนั่งรถกว่า 100 ก.ม.เพื่อไม่ให้เฒ่าวัย 68 แย่งบางอย่าง เมื่อนั้นความสัมพันธ์ของสองเฒ่าย่อมร้าวฉานเป็นสงครามประลองอีโก้เหมือนเด็กอนุบาลแย่งของ

และนั่นเท่ากับว่าสายสัมพันธ์ของสองคนนี้ได้กลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองไปอย่างไม่มีทางเยียวยา

 

ความแนบแน่นระหว่างคุณประยุทธ์กับคุณประวิตรทำให้ “ระบอบประยุทธ์” อยู่มาได้กว่า 8 ปี

แต่ทันทีทั้งคู่แยกทางกัน พรรคพลังประชารัฐของคุณประวิตรและรวมไทยสร้างชาติของคุณประยุทธ์ ล้วนมีเสียงขานรับจากสังคมต่ำมาก

และไม่มีทางเลยที่ทั้งคู่จะได้เสียงโหวตจนเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประเมินว่าทหารเฒ่าคนไหนจะผ่านการเลือกตั้งในสภาพที่เละเทะกว่ากัน

ซ้ำผลเลือกตั้งปี 2562 ก็ไม่สามารถนำมาคาดเดาผลเลือกตั้งปี 2566 ได้ด้วย เพราะปี 2562 พลังประชารัฐชูคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ โดยไม่มีคุณประวิตร ส่วนปี 2566 พรรคชูคุณประวิตรโดยไม่มีคุณประยุทธ์ต่อไป

ขณะที่คุณประยุทธ์สร้างพรรคโดยปลุกปั่นความคิดคลั่งชาติเป็นฉากหน้าห่อหุ้มการดูด ส.ส.สอบตก

คุณประวิตรก็ดูด ส.ส.เกรดเอ, ดูดบ้านใหญ่, ปั่นข่าวดีลเพื่อไทย และโยนความผิดทุกอย่างให้ประยุทธ์เพื่อรีแบรนด์ว่าตัวเองไม่ใช่พวกประยุทธ์

แต่ปฏิกิริยาจากประชาชนก็ยังรังเกียจทั้งคู่พอกัน

ไม่มีปัญหาว่าการเลือกตั้งรอบหน้าจะจบด้วยชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอย่างที่เป็นมาตลอด 22 ปี

ซ้ำนอกเหนือจากจะเป็นชัยชนะของพรรคเพื่อไทย กระแสความนิยมต่อพรรคก้าวไกลก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะแผ่วอย่างที่กองแช่งทั้งที่เป็นพวกรัฐบาลและไม่เป็นพยายามกล่อมประสาทตัวเองทุกวัน

 

สําหรับการเลือกตั้งปี 2566 ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ใครจะชนะเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับหนึ่ง แต่อยู่ที่ใครจะรวมเสียง ส.ส.และ ส.ว.จนได้คะแนนโหวตให้เป็นนายกฯ เกิน 375 ซึ่งยังไม่มีวี่แววว่า ส.ว.จะโหวตให้พรรคเพื่อไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย และพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันแม้แต่นิดเดียว

ทางออกของพรรคเพื่อไทยคือสร้างกระแส “เพื่อไทยแลนด์สไลด์” ซึ่งยังไม่มีการประกาศตัวเลขเป้าหมายที่พรรคต้องการอย่างแท้จริงให้ชัดเจน เพราะบางคนพูดว่าพรรคเพื่อไทยควรได้ ส.ส. 377 อย่างไทยรักไทยเคยได้ในปี 2548, บางคนพูดว่า 300 และก็มีบางคนที่พูดถึงตัวเลข 250-275 ขึ้นไป

ถ้าเพื่อไทยได้ ส.ส. 377 เพื่อไทยก็สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวโดยไม่ต้องสนใจใครเลย

แต่เงื่อนไขที่ทำให้ไทยรักไทยได้ ส.ส. 377 ในปี 2548 มาจากการดูดหรือ “ควบรวม” พรรคความหวังใหม่, พรรคเสรีธรรม, กลุ่มกำนันเป๊าะ และกลุ่มคุณเนวิน

ขณะที่เงื่อนไขที่จะทำแบบนี้ยังไม่มีในปัจจุบัน

หากถือว่าคำปราศรัยคือการประกาศเป้าหมายของพรรคแบบไม่เป็นทางการ คำปราศรัยของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่อุดรฯ ลากมวลชนไปเฮรับตัวเลขแลนด์สไลด์สูงสุดที่ 300 ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวน ส.ส.พรรคที่ได้ 136 ในปี 2562

ก็เท่ากับเพื่อไทยปีนี้ตั้งเป้าให้ได้ ส.ส.สูงขึ้นกว่า 1.2 เท่า หรือ 120%

 

จริงอยู่ว่ากระแส “เพื่อไทยแลนด์สไลด์” กับกระแส “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ปีนี้รุนแรง และแม้แต่บุคคลสำคัญของรัฐบาลก็ยอมรับกับผมหลายครั้งที่พูดคุยกันว่า “รุนแรงมาก”

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงเช่นเดียวกันว่าตัวเลข ส.ส.ที่พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 1 เท่าเป็นภารกิจที่หนักหน่วงพอสมควร

ถ้าเพื่อไทยได้ ส.ส.ถึง 300 คนอย่างที่คุณณัฐวุฒิประกาศบนเวที เพื่อไทยก็ต้องการ ส.ส.และ ส.ว.ในสภาสนับสนุนอีก 75 เพื่อให้คุณแพทองธารเป็นนายกฯ หรือพูดอีกอย่างคือฝ่ายตรงข้ามเพื่อไทยก็ต้องทำให้มี ส.ส.และ ส.ว.โหวตหนุนเพื่อไทยต่ำกว่า 75 ซึ่งทำให้คุณแพทองธารไม่ได้เป็นนายกฯ ทันที

เมื่อคำนึงว่าวุฒิสมาชิก 250 คนไม่มีทางที่จะสนับสนุนคนของเพื่อไทยเป็นนายกฯ ได้เลย โจทย์ของเพื่อไทยจึงได้แก่การระดม ส.ส.จากพรรคอื่นอีก 75 ให้โหวตคุณแพทองธารเป็นนายกฯ นั่นเท่ากับถ้าต่อให้เพื่อไทยได้ ส.ส.พรรคเดียว 300 เพื่อไทยก็ต้องได้ ส.ส.จากพรรคอื่นอีก 75 หนุนเพื่อไทย

ก้าวไกลคือพรรคเดียวใน 5 พรรคใหญ่ของประเทศที่เป็นฝ่ายค้านและเป็นฝ่ายประชาธิปไตยร่วมกับเพื่อไทย

แต่เมื่อคำนึงถึงความเหม็นขี้หน้า, ความหมั่นไส้ และการแดกดันกันไปมา โอกาสที่ทั้งสองพรรคจะร่วมรัฐบาลเดียวกันมีน้อยมาก ต่อให้สูตรนี้คือสูตรที่ประชาชนอยากเห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง

ประชาธิปัตย์ (ปชป.) คือพรรคใหญ่ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามเพื่อไทย 22 ปี โอกาสที่เพื่อไทยจะจับมือ ปชป.จึงเป็นไปไม่ได้

พรรคใหญ่ซึ่งเป็นทางเลือกให้เพื่อไทยระดม ส.ส.อีก 75 จึงเหลือแค่พลังประชารัฐกับภูมิใจไทย

และจนถึงตอนนี้ก็มีแต่พลังประชารัฐเท่านั้นเองที่ประกาศพร้อมจับมือตั้งรัฐบาลกับทุกคน

 

เพื่อไทยยืนยันนับครั้งไม่ถ้วนว่ายังไม่เจรจาตั้งรัฐบาลกับใคร

ซ้ำคุณณัฐวุฒิยังปราศรัยที่อุดรฯ ชัดๆ ว่าเลือกตั้งรอบนี้ต้องไล่ 3 ป.ให้สิ้นซาก

แต่เส้นทางการเมืองที่มีอยู่ตอนนี้กำลังบีบให้เพื่อไทยกับพลังประชารัฐเดินบรรจบกันในบั้นปลาย ต่อให้จะเป็นสิ่งที่ประชาชนกระอักกระอ่วนใจที่สุดก็ตาม

สำหรับคนที่ยืนยันว่าเพื่อไทยต้องไม่จับมือก้าวไกล อนาคตของรัฐบาลใหม่มีแต่การทำให้เพื่อไทยได้ ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ 375, การจับมือกับคุณประวิตรและพลังประชารัฐ หรือไม่ก็คือจับมือกับคุณเนวิน ชิดชอบ และพรรคภูมิใจไทย เพราะพรรคเล็กที่เหลือไม่มีทางได้ ส.ส.รวมกัน 75 อย่างแน่นอน

นักการเมืองบางส่วนมองว่าการรวมเสียง ส.ส.เพื่อตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเมืองไทยหลังรัฐประหาร 2549, ฆ่าหมู่คนเสื้อแดงปี 2553, รัฐประหาร 2557 และม็อบราษฎรปี 2563 คือการเมืองมวลชนที่มีแกนอยู่ที่การต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการอย่างเข้มข้น 20 ปี

คุณประวิตรประกาศแล้วว่าพร้อมจับมือกับทุกพรรคตั้งรัฐบาล

ซ้ำในการประกาศเรื่องนี้ยังคุยว่าตัวเอง “มองข้ามความขัดแย้ง” จนมีนัยยะโจมตีว่าใครที่คิดเรื่องประชาธิปไตยเป็นฝ่ายหมกมุ่นความขัดแย้งไปหมด ทั้งที่ระบอบประชาธิปไตยต่างหากคือการยุติความขัดแย้งในประเทศอย่างแท้จริง

ไม่ใช่เรื่องผิดที่คนส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตย และยิ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่คนในประเทศจะต้องการรัฐบาลใหม่จากฝ่ายประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่รัฐบาลใหม่ที่มีคุณประวิตร, คุณไพบูลย์ นิติตะวัน, คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน, คุณธรรมนัส พรหมเผ่า ฯลฯ

เพราะนั่นไม่ต่างกับรัฐบาลคุณประยุทธ์ที่ไม่มีคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เท่านั้นเอง

 

อวสานของคุณประยุทธ์จะเกิดทันทีที่คุณประยุทธ์ยุบสภา ยุทธศาสตร์ของพรรครัฐบาลเวลานี้คือการหนีตายจากคุณประยุทธ์ โดยโยนความผิดทางการเมืองไปที่คุณประยุทธ์ทั้งหมด คุณประวิตรและพลังประชารัฐไม่ใช่และไม่เคยเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองก็ตาม

หน้าที่ของพรรคการเมืองคือเป็นปากเสียงแทนประชาชนและปกป้องระบอบประชาธิปไตย เมื่อใดที่พรรคการเมืองพร้อมจับมือกับทุกคนตั้งรัฐบาลแบบที่คุณประวิตรพูด เมื่อนั้นพรรคการเมืองกำลังทำทุกทางเพื่อให้ได้อำนาจรัฐและอำนาจควบคุมงบประมาณเท่านั้นเอง

สำหรับพรรคการเมืองที่อยากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สิ่งที่พรรคควรทำคือสร้างความนิยมจนได้คะแนนโหวตจากประชาชนอย่างกว้างขวางที่สุด

ไม่ใช่การคิดจับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ล่วงหน้าเพื่อเจรจาให้ได้เป็นรัฐบาลในเวลาที่เสียงสนับสนุนจากประชาชนมีไม่พอ

คนไทยไม่ต้องการประยุทธ์เป็นนายกฯ และไม่ต้องการระบอบประยุทธ์ที่เปลี่ยนแค่ไม่มีประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป