‘มุ่งมั่น’

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

ต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2566

อากาศในป่าช่วงหัวค่ำจนถึงเช้ามืดเย็นยะเยือก ฤดูหนาวยังไม่จากไป แต่ดูเหมือนว่า ป่าเงียบกว่าที่ควร

เช้าๆ ไม่มีเสียงชะนี ไม่มีเสียงเก้ง บนทางไม่มีร่องรอยช้างที่ใช้เส้นทางเดียวกับเรา

ในแหล่งอาหาร มีเพียงกวางเข้ามาวนเวียน สภาพอากาศอาจทำให้ชะนีซุกตัวบนกิ่งไม้ตากแดดอุ่น ไม่อยากเคลื่อนไหวหรือส่งเสียง

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ แม้จะเป็นเวลาที่โป่งอันเป็นแหล่งอาหารเสริมที่สัตว์ป่าต้องการจะคึกคักอย่างที่เป็นมา อีกทั้งควรเป็นเวลาเหมาะสมที่จะพบตัว “เป้าหมาย” ที่อยากพบ

แต่หลายวัน ผมพบเพียงกวางหน้าเดิมๆ ทำงานในป่ามานานพอที่ผมจะยอมรับว่า เฝ้ารออยู่กับความว่างเปล่า รอโดยสัตว์ที่ต้องการพบไม่ปรากฏกาย นั่นเป็นเรื่องธรรมดา นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะท้อถอย

การเฝ้ารอ มันมากับงานที่ผมทำ แน่นอนว่า มันต้องใช้ความมุ่งมั่นพอสมควร

และผมรู้ดีว่า ความมุ่งมั่นที่มีนั้นมาจากที่ใด…

 

แม่กับพ่อใช้ชีวิตร่วมกัน 60 ปี ผ่านร้อน หนาว ทุกข์ สุข ตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว

พ่อใช้ชีวิตไปตามความฝัน ปฏิเสธเส้นทางที่ปู่เลือกให้เดิน มุ่งหน้าสู่เมืองเล็กๆ ที่ติดดงทึบ ใช้แรงกายแรงใจถากถางพลิกผืนป่าให้เป็นไร่

เป็นวิถีซึ่งต้องใช้ความอดทนไม่น้อย ในการทำความฝันให้เป็นจริง

ผมเชื่อว่า นั่นต้องใช้ความเข้มแข็ง แต่พ่อบอกผมบ่อยๆ ว่า คงท้อและกลับเข้าเมืองไปหลายครั้งถ้าไม่มีผู้ที่เข้มแข็งกว่าอยู่เคียงข้าง

คนคนนั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ

เธอคือแม่ของผม

 

กับ “เป้าหมาย” คือ สมเสร็จ ผมใช้เวลาไม่น้อยกับหลายผืนป่า ในการติดตาม เฝ้ารอ

หลายครั้งใช้เวลากว่า 20 วันในโป่งเล็กๆ ที่ฝนตกเกือบตลอด 24 ชั่วโมง

“ที่นั่นแหละครับ มีรอยสมเสร็จลงประจำ ผ่านไปก็เจอรอยใหม่ๆ” คนทำงานในป่าบอกข้อมูล

เขาบอกพิกัดให้ผมตรวจสอบจากแผนที่ ตำแหน่งโป่งอยู่ติดลำห้วยล้อมรอบด้วยป่าดิบแล้ง ต้องใช้เวลาเดินไปตามด่าน และตัดผ่านสันเขาไป ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง

“ฝนตกตลอดอย่างนี้ ด่านขึ้นสันเขาลื่นหน่อยนะครับ”

เขาบอกสภาพเส้นทางที่ผมจะต้องพบ

นกขุนแผน – นกขุนแผน กับกวาง พวกมันอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา

ว่าไปแล้วผมไม่แน่ใจนักหรอกว่า ที่นั่นจะเป็นพื้นที่อันทำงานได้ดี แต่การไปดูให้รู้แจ้งจำเป็น

ผมใช้เวลาเดินจากจุดที่รถมาส่งถึง ร่วม 8 ชั่วโมง สภาพด่านลื่นๆ ชัน เดินไม่ง่าย ต้องหยุดพักเป็นระยะๆ เราตั้งแคมป์พัก ห่างจากตำแหน่งโป่ง ราวหนึ่งชั่วโมงในการเดิน

ฝนตกเหมือนจะไม่มีวันหยุด เลี่ยงไม่พ้นที่บนพื้นจะพบกับทากซึ่งชูตัวสลอน

20 วันในซุ้มบังไพร นั่งนิ่งๆ ร่วมกับทากที่คืบคลานขึ้นมาตลอด ผมทำได้เพียงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ม้วนตัวทากให้เป็นก้อนกลมๆ แล้วดีดมันออกไป

ผมไม่ได้กดชัตเตอร์สักครั้ง โป่งว่างเปล่า ไม่มีนก ไม่มีเก้ง ไม่มีเสียงช้างร้อง หรือเสียงคำรามของเสือ

ตั้งแต่เช้ามืดกระทั่งพลบค่ำ ทุกวันขณะเดินกลับแคมป์ ผมตั้งความหวังไว้ว่า พรุ่งนี้ เป้าหมายจะมา

 

ตอนที่พ่อป่วยหนัก แม่ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเส้นเลือดสมองที่ตีบ ร่วมสองเดือน แม่ใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาล แม่จำเรื่องราวในช่วงนั้นไม่ได้

แม่ยังไม่หายเป็นปกติ ในวันที่พ่อจากไป ผมประคองแม่ไปนั่งในศาลาหน้าเมรุที่เราเผาร่างพ่อ

แม่เดินขึ้นบันไดไม่ไหว ฝากดอกไม้จันทน์ให้ผมไปวางแทน

“บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วง พักผ่อนให้สบาย” ผมบอกพ่อด้วยประโยคที่แม่ฝากให้พูด

ไม่มีน้ำตา ไม่มีน้ำเสียงสั่นเครือ แม่เข้มแข็งเสมอ แม้คนที่อยู่ด้วยกันมา 60 ปี จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว

 

ผมไม่เคยเล่ารายละเอียดให้แม่ฟังหรอกว่าผมทำอะไรหรือต้องพบกับอะไรบ้าง

แม่รู้จากงานที่ผมเขียน

ทุกครั้งที่กลับจากป่าถึงบ้าน แม่จะลุกขึ้นกอดผมแน่นๆ และวันที่จะกลับเข้าป่าแม่ก็จะทำแบบนี้

ถึงวันที่อายุ 90 ปีแม่ไม่แข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว เดินไม่สะดวก ต้องมีคนดูแล แต่แม่ก็พยายามทำโน่นนี่ด้วยตัวเอง

ทุกครั้งที่กอดแม่ ผมสัมผัสได้กับร่างบอบบาง

ทุกครั้งที่สบตา ผมเห็นความมุ่งมั่นเข้มแข็งส่งประกายออกมา

และทุกครั้งที่นั่งนิ่งๆ เฝ้ารออยู่กับความว่างเปล่านานหลายสัปดาห์

สัตว์ป่าสอนให้รู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงคือเรื่องธรรมดา มุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำสำคัญ

ผมรู้ว่า ความมุ่งมั่นเข้มแข็งมาจากที่ใด

ความ “มุ่งมั่น” ที่ผมนำมาใช้ขณะทำงานอยู่ในดงลึก •

 

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ