คำ ผกา : สิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับความเป็นคน

คำ ผกา

ปีนี้ มีเหตุให้ต้องไปทำงานที่เกียวโตในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงครั้งละสามวัน และในตารางงานที่แน่นเกือบสิบชั่วโมงต่อวัน ฉันมีโอกาสประมาณ 1 ชั่วโมงออกมาเดินสูดอากาศเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ

และในขณะที่เดินนั้น จู่ๆ ความสะเทือนใจก็เข้าจู่โจมอย่างกะทันหัน

และให้บังเอิญว่า ย่านที่ต้องไปทำงานนั้นคือย่านเดียวกันกับที่ฉันเคยเช่าบ้านอยู่ในสมัยเป็นนักเรียน เกือบเจ็ดปีที่อยู่ที่นั่น

ทำให้การเดินในวันนั้นเหมือนการได้กลับไปบ้านเก่า ไปยังที่ที่เราคุ้นเคยจนกระทั่งสามารถหลับตาแล้วใช้เพียงจมูกดมกลิ่นไปเรื่อยๆ ก็ยังเห็นอยู่นั่นเองว่าตรงนั้นตรงนี้คืออะไร

บนทางเท้าที่กว้าง เรียบ สะอาด ใต้ท้องฟ้าต้นฤดูร้อนที่แจ่มกระจ่างเสียเหลือเกิน และในย่านไม่ไกลจากกลางเมืองที่เราได้เห็นภูเขาตระหง่าน

บ่ายของวันอาทิตย์ที่การเคลื่อนไหวของคนขวักไขว่อยู่บนจักรยานอันฉวัดเฉวียน มีเสียงจักจั่นดังอยู่เซ็งแซ่ มีเด็กถือสวิงเตรียมไล่จับแมลง

หน้าร้านไอติมทำมือแบบโบราณมีเสียงเอะอะของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่กำลังสุขสันต์กับความร้อนของวันอาทิตย์ที่มันแปลว่าวันหยุด

บนถนนรถค่อนข้างว่าง กลิ่นเขียวสดๆ ของใบไม้ลอยมาในอากาศเป็นระยะ

 

ฉันไม่รู้หรอกว่า ใครที่ร่วมเดินบนถนนสายนั้นมีความสุขหรือมีความทุกข์ใดๆ ในใจบ้าง

แต่เท่าที่รู้คือหัวใจที่เหี่ยวเฉา หม่นหมอง-ซึ่งฉันไม่ได้รู้ตัวมาก่อนเลยว่ามันเหี่ยว มันหมอง-มีอาการเหมือนต้นไม้เฉาขาดปุ๋ยที่มีคนเอาน้ำมารดให้นิดเดียว แล้วมันก็ค่อยสะบัดใบ

ฟื้นตัวจากสภาวะ dehydrate ขึ้นมาช้าๆ

ฉับพลัน ความสุขก็เข้ายึดกุมจิตใจ และค่อยๆ สุขมากขึ้นจนเหมือนหัวใจจะพองคับอกแล้วระเบิดออกมาข้างนอก สุขจนอยากจะกู่ร้องตะโกนออกมาดังๆ ว่า “มีความสุขจังเลยโว้ยยยยยยยยย”

และเพื่อไม่ให้ความสุขที่กำลังเอ่อล้นออกมานั้นเนืองนองจนควบคุมไม่อยู่ ฉันจึงเดินไปที่ร้านกาแฟ เลือกโต๊ะที่สามารถหันหน้าเข้าหาถนน หย่อนก้นลงบนโซฟาผ้าฝ้ายสีครีม แล้วมองผู้คนที่ปั่นจักรยานผ่านไปมาบนทางเท้าแล้วภาวนาว่าขอให้โมเมนต์แห่งความสงบนี้ยืดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วฉันก็เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรที่ทำให้ฉันมีความสุข (แน่นอนว่าความสุขนั้นก็บีบหัวใจให้เศร้าและสะเทือนใจไปพร้อมๆ กัน) ในเมื่อฉันยังไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน แค่ออกมาเดินบนถนนสายที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากขอบฟ้ากว้าง ละอองอากาศที่มีกลิ่นความเขียวของใบไม้

เมืองแบบไหนกันล่ะที่แม้แต่หญ้าต้นเล็กๆ ยังสามารถส่งกลิ่นมาถึงจมูกเราได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น

เมืองแบบไหนกันที่ทำให้ฉันอยากจะไปเดินไปสัมผัสหญ้าทุกต้น ดอกไม้กระจิ๋วหลิวทุกดอกที่เปล่งประกายกันเองโดยไม่ต้องมีใครมาปลูกหรือดูแล-อยากจะไปกระซิบบอกพวกมันทุกต้นทุกกิ่งก้านว่าขอบคุณๆๆๆ ขอบคุณที่เกิดมาแต่งแต้มให้โลกนี้สวยงาม แล้วจู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่า

“นี่เราเป็นคนเต็มคนใช่ไหม?”

ที่นี่ให้เราหายใจได้โดยไม่ต้องสะดุดกับสำนึกที่มาสะกิดเราเป็นระยะๆ ว่า “อย่าประมาทกับชีวิต” และทั้งหมดนี้มันคือความมั่นใจว่า เราอยู่ภายใต้ “รัฐ” ที่ให้ความมั่นใจกับเราในระดับหนึ่งว่า “เราจะมีชีวิตที่มั่นคง ปลอดภัย” ตามมาตรฐานที่มนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาแล้วพึงจะมี

อ้าว แล้วชีวิตที่ผ่านมาของฉันคืออะไร?

แล้วก็อีกนั่นแหละ อยู่ๆ ฉันก็ถูกโจมตีด้วยการเพิ่งสำเหนียกว่า ที่ผ่านมากว่าสิบปี ฉันมีชีวิตอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่นอกจากไม่สามารถสัมผัสถึงการได้รับการดูแลจาก “รัฐ” ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคนแล้ว

ยังเผชิญกับความหวั่นใจเสมอมาว่า เอ๊ะ หรือเราคือคนที่รัฐอยากกำจัด? เอ๊ะ ทำอย่างไร รัฐจะไม่เห็นเราเป็นศัตรู?

เอ๊ะ ทำอย่างไรอุปกรณ์การสื่อสารของเราจะไม่ถูกแฮ็กถูกดักฟังหรือถูกล่วงล้ำเข้ามาจนใส่ร้ายป้ายสีเราได้?

หรือแม้แต่การไม่ทำอะไรเลย เราก็อาจถูกเอาไปทำอะไรสักอย่างได้อยู่เสมอๆ วูบไปกว่านั้นก็คือ-ใช่สิ-เรามีชีวิตภายใต้กฎหมายพิเศษที่รัฐทำอะไรกับเราก็ได้มานาน นานพอที่จะทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เกิดมา ได้หายใจ ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ได้สุขใจกับการเห็นขอบฟ้าสุกปลั่งยามพระอาทิตย์ตก มันมลายไปสิ้น และแม้สายลมเย็นๆ ก็ไม่เคยพัดผ่านมาถึงเราเป็นเวลานานมากพอที่จะทำให้เราลืมไปแล้วว่าเราคือ “คน”

นั่นเป็นสิ่งที่เราถูกกระทำในระดับจิตสำนึก

 

แล้วในระดับกายภาพล่ะ?

อย่าพูดถึงว่าเราอยู่ในประเทศที่ใครๆ ก็สามารถเดินทอดหุ่ยบนทางเท้า ฟังเสียงนกเสียงกา เงยหน้ามองขอบฟ้าได้

เอาแค่มนุษย์ในประเทศไทยจะสามารถหอบหิ้วตัวเองไปยังที่ทำงานและกลับบ้านได้อย่างไม่บอบช้ำมากนักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เราอยู่ในประเทศที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงลิ่วและความผิดนั้นถูกโยนมาให้พวกเราเต็มๆ ตั้งแต่เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ขับโดยประมาท ขับโดยผิดกฎจราจร ซึ่งไม่ผิด

แต่ก็ไม่เคยมีใครคิดว่า เออ ออกแบบถนน และเส้นทางการขับขี่อย่างไรให้ปลอดภัยและมีความเสี่ยงน้อยสุด และน้อยแม้กระทั่งว่าหากจะมีคนเมา คนหลับใน ด้วยการออกแบบเช่นนั้นก็จะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้-ก็เพราะว่าชีวิตมันมีค่าไง เราต้องคิดแบบนี้-แต่ขอโทษนะ เราอยู่ในประเทศที่ชีวิตมันไม่มีค่า

การศึกษาล่ะ มันเศร้าอยู่บ้างทุกครั้งที่เห็นว่า คนที่มีเงินสามารถวางแผนการศึกษาให้ลูกหลานได้ สามารถใช้การศึกษาเป็นยานพาหนะนำพาลูกหลานไปใช้ชีวิตในประเทศที่ศิวิไลซ์ได้ และฉันก็เริ่มได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อยๆ กับคำพูดในทำนองที่ว่า “บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เตรียมตัวให้ลูกสามารถเรียนและทำงาน อยู่เมืองนอกถาวรไปได้เลยยิ่งดี”

แต่นั่นมันสำหรับคนที่มีทางเลือก

ถ้าคนที่ไม่มีทางเลือก ถ้าบ้านคุณจน แล้วลูกคุณไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก และนั่นก็แปลว่า ถ้าคุณมีมันสมองแค่อยู่ในระดับเกณฑ์เฉลี่ย และพ่อแม่ของคุณไม่มีเงินมากพอที่จะพัฒนาสมองและความสามารถเกณฑ์เฉลี่ยของคุณโดดเด่น แล้วคุณต้องดักดานอยู่ในระบบการศึกษาแบบไทยที่กำลังจะบังคับให้คุณต้องเล่นดนตรีไทยได้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง คุณโตมาพร้อมกับการถูกสั่งให้ไหว้ ให้คลาน ให้ยืนตรง แถมการเรียนการสอนก็อ่อนปวกเปียก

สิ่งเดียวที่พ่อแม่กลุ่มนี้พึงสอนลูกคือ

“อย่าสนใจการเมือง อย่าสะเออะจะคิด ขอให้ก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน เลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด เจียดเงินหาความบันเทิงให้ชีวิตไปวันๆ ดูละครหลังข่าวไป อย่าไปริอยากจะรู้จักงานศิลปะ การแสดงอะไรที่มากไปกว่านั้น หัดพอใจอยู่แค่กับมุขตลกกากๆ ตามรายการเกมโชว์ อย่าเถียง อย่าตั้งคำถาม เพราะมิเช่นนั้นชีวิตมันจะบัดซบมาก”

คงมีแต่การรักษาพยาบาลที่พวกเราทุกคนต่างก็อุ่นใจว่าเรามี “สามสิบบาทรักษาทุกโรค” แต่ ณ ขณะนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่า ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่คนไทยจะมีได้นี้จะมีอนาคตเช่นไร

ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าชีวิตของพลเมืองไทยก็ถูกส่งไปแขวนบนเส้นด้ายไปอีกเรื่อง

 

ชีวิตยามชราภาพ

คน “มีอันจะกิน” ทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและเสรีนิยม ล้วนแต่มีทางเลือกในชีวิตโดยไม่ต้องแยแสรัฐ ตั้งแต่เตรียมสถานศึกษาในต่างแดนไว้ให้ลูกหลาน ไปจนกระทั่งเตรียมบ้านหลังที่สอง ที่สาม ที่สี่ ไว้ในต่างแดน

หากเกิดการโกลาหลขึ้นมา ไม่ว่าฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายไหนขอให้มีทรัพย์ก็สามารถยกครัวไปอยู่ในบ้านหลังที่สอง สาม และสี่ได้เสมอ ส่วนพวกที่ตกคลั่กอยู่ในประเทศก็ล้วนแต่เป็นคนที่นอกจากจะถูกขโมยสิทธิ์ ขโมยเสียง ขโมยความเป็นคนแล้ว พวกเขาก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำมาหากินในบ้านเมืองที่-อย่างที่บอก-ไม่มีแม้แต่ช่องของสายลมเย็นให้รำเพยผ่าน

เป็นคนจนก็ว่ายากแล้ว ถ้าคุณเป็นคนจนที่พิการ ที่แก่ ที่มีปัญหาทางสมอง ที่มีปัญหาทางจิตใจ ที่มีปัญหาทางสภาวะเสพติดใดๆ ก็ตาม-เคยจินตนาการไหมว่า วันหนึ่งหากเรากลายเป็นคนติดเหล้า มีปัญหาในชีวิต ชีวิตเราจะลงเอยแบบไหน

ฉันหลับตาเห็นสภาพของการเป็นโฮมเลสเร่ร่อนแล้วนอนตายข้างถนน

อาจจะแย้งได้ว่า ประเทศโลกที่หนึ่งที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่อ้างว่ารักมนุษย์เหลือเกินก็มีโฮมเลส มีคนติดยา มีคนติดเหล้า และน่าจะจบชีวิตแบบนอนตายข้างถนนอยู่ไม่น้อย

แต่สำหรับฉัน อย่างน้อยการเป็นโฮมเลสในประเทศที่ “ทางเลือก” แห่งสวัสดิการรออยู่ ก็ยังดีกว่าเป็นโฮมเลสในประเทศที่ไม่มีทางเลือกแห่งระบบสวัสดิการอะไรให้เลยนอกจากการให้ทาน

และถ้าคุณแก่ ตอนนี้ความอุ่นใจอย่างหนึ่งที่คุณมีคือ เบี้ยผู้สูงอายุเดือนละหกร้อยบาท และฉันขอร่วมภาวนาว่า มันจะไม่ถูกริบไปไหนเสีย

จากนั้นคุณต้องร่วมด้วยช่วยกันพยุงคุณธรรมว่าด้วยความกตัญญูเอาไว้ หมั่นสั่งสอนลูกหลานว่าอย่าทิ้งคุณไปในยามแก่เฒ่า เพราะคุณไม่เคยคิดว่า “รัฐ” จะดูแลคุณในยามพลบของชีวิต

ความบัดซบทั้งหมดนี้จะถูกซ้ำเติมไปอีกในกรณีที่คุณไม่รู้ว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม เพราะเขาถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปอย่างยิ่งยวด

ในขณะที่ฉันคิดว่า หากต้องอยู่อย่างไม่เต็มคนแล้ว การเลือกความตายให้ตัวเอง เป็นหนทางเดียวของการคืนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนของตนเอง

แต่หนทางว่าด้วยการเดินไปสู่ความตายอย่างราบรื่น สวยงามก็ถูกห้ามโดยกฎหมายและศาสนา

ตอนนี้ถ้ามีใครมาถามฉันว่าสิ่งดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมาในชีวิตคืออะไร ฉันคงตอบได้ทันทีว่าคือการตัดมดลูก

การไม่มีมดลูกและความมั่นใจว่า จนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง ฉันไม่ต้องผลิตสิ่งมีชีวิตใหม่มาสู่โลกใบนี้

นับเป็นความสบายใจ โปร่งใจอย่างหาที่สุดไม่ได้