เปิดปมจีนเทา ‘ตู้ห่าว’ โยงหลานนายกฯ บิ๊กตู่ ‘ชูวิทย์’ เดินหน้าแฉต่อ ส่งไม้ก้าวไกลซักฟอก

บานปลายไม่หยุดแล้วจริงๆ สำหรับปมร้องเรียนเรื่องทุนจีนสีเทา ที่ขยายผลจากการบุกทลายผับจินหลิง ย่านยานนาวา ตามมาด้วยปฏิบัติการแฉสะท้านฟ้าของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ที่เป็นคนเปิดชื่อ 5 เสือมาเฟียจีนสีเทา พร้อมชี้เป้าเครือข่ายตู้ห่าว จนถูกจับกุมและอายัดทรัพย์มหาศาล

ไม่เพียงแค่นั้น ยังออกโรงเปิดโปงเส้นทางเชื่อมโยงว่ากลุ่มจีนสีเทานี้เข้ามาในประเทศไทยได้โดยได้รับวีซ่านักเรียน โดยมีตำรวจ ตม.คอยอำนวยความสะดวก กลายเป็นที่ฮือฮา จนบิ๊กตำรวจต้องออกมาสอบสวน ยืนยันไม่เอาไว้หากมีนายตำรวจนอกรีต

รวมทั้งนำสำนวนการสอบสวนคดีตู้ห่าว โจมตีว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำสำนวนไม่รัดกุม ไม่เก็บพยานหลักฐานสำคัญ ทั้งพยานบุคคล วัตถุ เซิร์ฟเวอร์วงจรปิด อีกทั้งยังไม่แจ้งข้อหาอย่างที่ควร พุ่งเป้าไปที่ ผบช.น.อย่างชัดเจน

ลามไปถึงอัยการ และที่สำคัญคือเปิดข้อมูลใหม่ นั่นก็คือ มีบริษัทหลานนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าไปทำธุรกิจร่วมกับตู้ห่าวด้วย

พร้อมตั้งคำถามว่า นี่คือประเด็นที่ทำให้การสืบสวนสอบสวนล่าช้าหรือไม่

เป็นเรื่องที่คนระดับนายกฯ ต้องเร่งชี้แจงโดยพลัน!!!

เปิดตัวพยาน

ชูวิทย์โวย ตร.ทำสำนวนจีนเทา

เดินหน้าเปิดโปงต่อเนื่อง สำหรับกรณีทุนจีนสีเทาเครือข่าย “ตู้ห่าว” ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นักธุรกิจชาวจีน สัญชาติไทย ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่พุ่งเป้าไปที่สำนวนการสอบสวนของตำรวจ บช.น. และตั้งคำถามถึงการทำงานของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.

โดยเมื่อวันที่ 5 มกราคม นายชูวิทย์ออกมาแถลงอีกครั้ง อ้างว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ในการทำคดีตู้ห่าว ทำคดีเก็บหลักฐานแบบเว้นวรรค อ้าง ป.ป.ส.ไม่ให้เข้าพื้นที่เก็บข้อมูล แต่ ป.ป.ส.ยืนยันไม่มีระเบียบดังกล่าว พร้อมทั้งถามว่าได้สอบสวนผู้หญิงที่อยู่ในกล้องวงจรปิดที่นำเงิน 6 แสนบาทไปมอบให้ตำรวจ เพื่อปล่อยรถของกลางหรือไม่

รวมทั้งตำรวจที่ปล่อยตัวผู้ต้องหาที่เป็นหลานของตู้ห่าวไปนั้น ล่าสุดได้มีการดำเนินคดีแล้วหรือไม่ อย่างไร

พร้อมทั้งเปิดแผนผังผับจินหลิง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยานนาวาบุกจับก่อนหน้านี้ ระบุว่าไม่ใช่แค่สถานบันเทิงที่จำหน่ายยาเสพติดเท่านั้น แต่พื้นที่ดังกล่าวยังแบ่งเป็น 3 โซน คืออาคารจินหลิง ที่เป็นผับ และจำหน่ายยาเสพติด ร้านล้างรถวิบวับ และอีกส่วนคืออาคารลีลา ที่เป็นบ่อนการพนัน ระดับกาสิโน

ซึ่งทั้งหมดติดกล้องวงจรปิดไว้ทั้งหมด 4 เซิร์ฟเวอร์ แบ่งเป็นที่ผับจินหลิง และร้านล้างรถ 2 เซิร์ฟเวอร์ มีกล้องวงจรปิด 40 ตัว ส่วนที่กาสิโนลีลา มี 2 เซิร์ฟเวอร์ กล้อง 68 ตัว ถ่ายทุกมุม แต่ตอนส่งรายงานขอตรวจสอบพยานหลักฐาน มีเพียง 2 ตัว และถูกขีดฆ่าเหลือ 1 ตัว

จึงตั้งคำถามว่าหากเป็นอย่างนี้จะเชื่อมั่นได้เพียงไหน

พร้อมกันนั้นได้นำพยานมาเปิดตัวนับสิบคน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เคยเบิกเงินสดให้ตู้ห่าว จากธนาคารแห่งหนึ่ง พร้อมระบุว่าเป็นเงินที่ส่งมาจากจีน ส่วนอีกกลุ่มเป็นบรรดาผู้รับเหมา ที่ถูกว่าจ้างปรับปรุงร้าน ก่อสร้างร้านและอาคารต่างๆ แต่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง รวมแล้วหลายสิบล้านบาท

ไม่เพียงแค่นั้น ยังตั้งคำถามอีกว่าทำไมถึงดำเนินคดีนี้ล่าช้า หรือเพราะมีความสัมพันธ์บางอย่าง หลังจากพบว่าบริษัทนอมินีของตู้ห่าวบริษัทหนึ่ง เกี่ยวโยงกับธุรกิจเช่ารถของหลาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

พาดพิงไปถึงนายกฯ ประยุทธ์จนได้!!!

จี้ประยุทธ์ตอบปมหลาน

ซัดตู้ห่าวพัวพันหลานนายกฯ

ภายหลังจากการเปิดโปง ทำให้สื่อต้องตั้งคำถาม พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากลงพื้นที่ที่ จ.สิงห์บุรี พล.อ.ประยุทธ์ก็แสดงท่าทีฉุนเฉียว ไม่ตอบคำถามสื่อ จนทำให้นายชูวิทย์ต้องโพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามว่าทำไมนายกฯ ถึงต้องหงุดหงิด กระฟัดกระเฟียด ทั้งที่คำถามเกี่ยวกับ หจก.คอนเทมโพรารี่ คอนสตรัคชั่น ของหลาน พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเกี่ยวโยงกับธุรกิจรถเช่าของตู้ห่าว

เพราะแค่ตอบคำถามความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่เห็นยากตรงไหน พร้อมตั้งคำถามว่าบริษัท ซันลอง ของจีนที่นำเข้ารถบัสหลายร้อยคัน แล้วหลานของนายกฯ ไปซื้อมา นำมาเข้าลีสซิ่งกับบริษัท เอเซียเสริมกิจ จำกัด แล้วนำไปเช่าช่วงแบ่งเปอร์เซ็นต์กับตู้ห่าว ในนามบริษัท เอ็ม แอนด์ เอ็ม ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ที่มีพี่เมียตู้ห่าว เป็นนอมินี

ทำไมถึงตอบไม่ได้ แล้วจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศขอเป็นนายกฯ อีก 2 ปีหรือไม่

พร้อมตั้งคำถามถึงประเด็นเรื่องการนำรถทัวร์ที่ผลิตที่จีน ส่งเข้ามาทางมาเลเซีย ตามที่เคยมีสนธิสัญญากันว่าหากนำเข้าบางส่วนแล้วประกอบชิ้นส่วนผลิตในไทยจะเป็นการสร้างงาน ไม่ต้องเสียภาษี แต่จริงๆ แล้วเป็นการถอดแยกชิ้นส่วนจากเมืองนอก แล้วเอาเข้ามาประกอบใหม่เท่านั้น

ถือเป็นการกระทำหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่

นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่ตั้งข้อหาฟอกเงินกับเครือข่ายตู้ห่าว เมื่อมีตัวละครใหม่เกิดขึ้นมาเป็นระดับหลานนายกฯ แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าเรียกสอบ

ต่อมาวันที่ 9 มกราคม ในงานเปิดตัว พล.อ.ประยุทธ์เข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ นายชูวิทย์ก็เดินทางไปที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สถานที่จัดงาน พร้อมจุดเทียนแถลงข่าวเพื่อทวงถามนายกฯ ถึงการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะเรื่องทุนจีนสีเทา พร้อมขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่ามีเครือญาตินายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจรถเช่าหรือไม่

โดยต่อมานายหิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธ.หิ ได้ออกมาเชิญนายชูวิทย์เข้าไปพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 10 นาที

ถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย!!

ส่งข้อมูลก้าวไกล

ส่งข้อมูลก้าวไกลอภิปราย

หลังจากหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์รับปาก ยืนยันในฐานะชายชาติทหาร จะจัดการปัญหาทุนจีนสีเทา และกรณีที่มีชื่อหลานชายเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจรถทัวร์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับตู้ห่าว แต่ทุกอย่างมีขั้นตอนในการดำเนินการ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ยอมฟังเสียงประชาชนอย่างตนเอง ซึ่งตนก็ต้องให้เวลานายกฯ จัดการปัญหาตามระบบราชการ ซึ่งท่านบอกว่าไม่สามารถไปย้ายใครได้ทันที ไม่ใช่พูดปุ๊บย้ายปั๊บได้เลย เพราะมีขั้นตอนและกระบวนการ

วันนี้ตนได้ยินจากปาก พล.อ.ประยุทธ์แล้ว จึงถือว่าพอแล้ว

ส่วนเรื่องหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ขอเวลาไปดำเนินการตรวจสอบก่อน และยังบอกด้วยว่าไม่รู้เรื่องดังกล่าว และบอกให้ชูวิทย์พอได้แล้ว

ซึ่งตนเองก็รับปากจะพอแล้ว เพราะถือว่าการพูดคุยวันนี้แฮปปี้เอนดิ้ง

ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการถอยของนายชูวิทย์แล้วหรือไม่!??

อย่างไรก็ตาม แม้นายชูวิทย์จะบอกว่าพอแล้ว แต่วันที่ 10 มกราคม ก็เปิดแถลงอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาทำในฐานะประชาชน สู้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ไม่มีหน่วยงานรัฐสนับสนุน ซึ่งหลังจากพบนายกฯ มองว่านายกฯ เปลี่ยนไป เป็นนักการเมืองแล้ว จะแสดงบทบาทเดิมไม่ได้ จึงต้องรับฟังประชาชน และการจัดการเรื่องทุนจีนสีเทาก็เป็นเรื่องหนึ่งที่นายกฯ รับปาก ซึ่งตนคงไปเรียกร้องหรือกำหนดเวลาไม่ได้

ยืนยันว่าไม่ใช่การหาทางลง

ต่อมาวันที่ 11 มกราคม นายชูวิทย์เดินทางเข้าชี้แจงต่อ กมธ.การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมกันนั้นได้นำข้อมูลการทุจริตของกลุ่มจีนสีเทา มอบให้กับนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 พร้อมระบุว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่เคยเปิดเผยกับสื่อมาก่อน คิดว่าเป็นข้อมูลที่ควรพูดในสภา

ด้านนายรังสิมันต์ก็ระบุว่า พรรคก้าวไกลจะตั้งทีมศึกษา เพื่อเจาะลึกข้อมูลแสวงหาข้อเท็จจริงจากแหล่งข่าวต่างๆ และจะนำมาอภิปรายในสภาอย่างแน่นอน และฝากถึงประธานสภาว่าการอภิปรายอาจมีการพาดพิงบุคคลที่สาม แต่ก็จะระมัดระวังให้มากที่สุด ส่วนที่ต้องพาดพิงก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

เป็นประเด็นที่ขยายจากธุรกิจผิดกฎหมายมาเป็นเรื่องการเมืองอย่างเต็มตัว

ส่วนเนื้อหาการอภิปรายจะเป็นอย่างไร การตอบคำถามของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ ที่ถูกพาดพิง จะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามใกล้ชิดจริงๆ!!!