ปฐมบทก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งแล้ว สนามการเมืองเลยมีประเด็นดราม่าโรเตชั่นมาเกทับบลั๊ฟฟ์แหลกกันไม่ว่างเว้นแต่ละวัน เป็นธรรมดาเมื่อใกล้ฤดูกาลเลือกตั้ง สิ่งสำคัญของ “นักเลือกตั้ง” คือ “คุณสมบัติ” ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นปฐมบทว่าด้วย “การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” ผู้สมัครทุกคนต้องหาปลอกคอให้กับตัวเองสวมก่อน

ตามกรอบรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 90 วัน เพราะหากไม่มีพรรคสังกัด ต่อให้มีชื่อเสียงระบือลือนามขนาดไหน ก็ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ตามมาตรา 97

ที่กำหนดเป็นกฎเหล็กไว้ว่า “บุคคลผู้มีคุณสมบัติ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดเพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่กรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาดังกล่าวให้ลดลงจาก 90 วันเหลือ 30 วัน”

สรุป 2 เงื่อนไข

1. กรณีครบวาระสภาผู้แทนฯ ต้องเป็นสมาชิกพรรคนั้นเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน

2. กรณียุบสภา ต้องเป็นสมาชิกพรรคนั้นเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 วันนับถึงวันเลือกตั้ง

กรณีที่ 1 หากครบวาระสภา ต้องเลือกตั้งภายในกรอบเวลา ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองต่อเนื่อง 90 วัน จะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างน้อยภายในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ แต่มีกระบวนการตรวจสอบไม่ให้ผู้ใดเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซ้ำซ้อนกับพรรคการเมืองอื่น อันจะส่งผลให้สถานะการเป็น ส.ส.ของผู้นั้นสิ้นสภาพไปทันที

ด้วยหมวด “คุณสมบัติ” ที่กำหนดไว้ดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ช่วงนี้ ใกล้เส้นตายขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะ “นักเลือกตั้ง” เลยวิ่งขาขวิด หาต้นสังกัดลงสมัครกันคึกคัก ฝุ่นตลบ

เมื่อก่อน ถนนสายการเมืองเหมือนบ่อเทขยะ ที่ทิ้งมูลฝอย สนามของ “คนไม่ดี” แต่ “อำนาจ” ทำให้คนหน้ามืด วันนี้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กระโจนลงสู่สมรภูมิที่ตัวเองเคยแสดงความรังเกียจ ดูถูกดูแคลน

ค่ำวันที่ 9 มกราคม “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ประกาศเปิดตัว เดินบนถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัวกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ด้วยอีเวนต์ใหญ่ ภายใต้ชื่อ “รวมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ท่ามกลางการต้อนรับอย่างล้นหลามของมวลสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคนที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีแกนนำพรรคนทำทีมโดย “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค รทสช. ตั้งแถวจัดทีมต้อนรับ ท่ามกลางเสียงตะโกน ลุงตู่สู้ๆ ดังกึกก้อง

มีการจัดขั้นตอนเป็นฉากๆ เริ่มจาก “พล.อ.ประยุทธ์” ทำการสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช.แบบตลอดชีพ ควักเงินเสียค่าสมัคร 2,000 บาทเสร็จแล้ว “เสี่ยตุ๋ย” ในฐานะหัวหน้าพรรคสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีขาว ชักภาพร่วมกับบรรดาโต้โผพรรค ไฮไลต์อยู่ที่การเปิดใจปราศรัย สไตล์เนื้อหาเดิมๆ ว่าจะเดินหน้าสานต่อเพื่อคนไทยทั้งชาติ ตบตูดด้วยการร้องเพลงศรัทธาของวงหิน เหล็ก ไฟ ตะโกน “รวมไทยสร้างชาติ” ส่งท้าย

หลัง “บิ๊กตู่” คอนเฟิร์มจะไปต่อบนถนนสายการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ล้านเปอร์เซ็นต์ ในนามแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 เมื่อพลิกแฟ้มดู ปรากฏว่า แรกทีเดียว มีการคาดหมายกันว่า ต้นสังกัดใหม่ของ “พล.อ.ประยุทธ์” จะได้รับเลือก ส.ส.เข้าสภามาระดับน้อยถึงน้อยมาก โอกาสปริ่มน้ำปริ่มใจจะขาด 25 ที่นั่งไป-กลับ พอติดเพดานร้อยละ 5 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด สามารถส่งชื่อเข้าชิงนายกฯ คนต่อไปได้

เนื่องเพราะประชากรของ รทสช.ไม่ได้จ๊าบ ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.แถว 2 เกรดบี บัญชีรายชื่อเกือบจะทั้งหมด ขณะที่ ส.ส.เขตเลือกตั้งมีไม่กี่คน

กรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย “นายพีระพันธุ์” เป็นหัวหน้า มี “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เป็นเลขาฯ พรรค ขณะที่กรรมการบริหารคนอื่นๆ มีเพียงไม่กี่คนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ประกอบด้วย “นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ” เหรัญญิก “เกรียงยศ สุดลาภา” นายทะเบียน

โดยที่มีบุคคลที่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองไม่กี่คน เช่น “วิทยา แก้วภราดัย-ชื่นชอบ คงอุดม-วิสุทธิ์ ธรรมเพชร” แต่ระยะหลังๆ มีการเสริมทัพมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี-ชัชวาลย์ คงอุดม-เสกสกล อัตถาวงศ์”

กลุ่ม ส.ส.เขตเลือกตั้ง แน่นอนแล้วว่า ในส่วนของภาคกลาง-ภาคตะวันออก ทาง รทสช.มอบหมายให้ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้คุมทัพสู้ศึก

ภาคเหนือ ในหลายจังหวัด “หิมาลัย ผิวพรรณ” เป็นผู้จัดทัพ และมีแนวโน้มว่า รทสช.ได้ที่นั่งเพิ่มดีพอประมาณ เมื่อพลังประชารัฐ ทัพแตกในจังหวัดนครสวรรค์ โดยที่ “นายวีระกร คำประกอบ” ประกาศไขก๊อกกลางสภา ลาออกไปซบภูมิใจไทย ขณะที่อีก 2 คนคือ “นิโรธ สุนทรเลขา” กับ “สัญญา นิลสุพรรณ” ย้ายตาม “พล.อ.ประยุทธ์” มาสังกัดรวมไทยสร้างชาติ

สรุปฐานกำลังของ รทสช.หลัง “บิ๊กตู่” ประกาศไปต่ออย่างเป็นทางการ มีไหลมาสมทบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าดีวันดีคืน บวกกับกลุ่มนายก อบจ.อีกจำนวนหนึ่ง หากสามารถดึงกลุ่มบ้านใหญ่มาได้อีกบางส่วน ตัวเลข ส.ส.ที่จะได้รับเลือกตั้ง มั่นใจว่าทะลุเป้า

และหลังจากนี้ ทาง “บิ๊กตู่” จะเดินสายชักชวนมุ้งใหญ่ด้วยตัวเอง โดยที่มีกลุ่มเป้าหมายคือ “สามมิตร” ของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน” และกลุ่มกำแพงเพชร กับ “วราเทพ รัตนากร”

เมื่อดีดลูกคิด ส.ส.เขตที่ รทสช.จะได้รับเลือกตั้งประกอบด้วย ภาคใต้-ภาคกลาง-ตะวันออก-ภาคเหนือ เกิน 40 ที่นั่งแน่นอน และเชื่อว่า เสียงจะชนะพรรคพลังประชารัฐของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่นับวันมีแต่เลือดไหลออกไม่หยุด

เมื่อ “บิ๊กตู่” ประเมินสถานการณ์อย่างถ่องแท้ คิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอประมาณ ก็จะชิงลงมือยุบสภา ก่อนครบเทอมในวันที่ 23 มีนาคม 2566

อาจจะเช็กบิลเลือก “ยุบสภา” ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์