รายงานพิเศษ/แผนขี่เสือ ภาค 2 ของ ‘บิ๊กตู่’ จากปฏิวัติ สู่พรรคลายพราง 3 ป.แท็กทีม ยึด ครม.#5 ‘บิ๊กเจี๊ยบ-บิ๊กแดง’ แบ๊กอัพ

รายงานพิเศษ

แผนขี่เสือ ภาค 2 ของ ‘บิ๊กตู่’
จากปฏิวัติ สู่พรรคลายพราง
3 ป.แท็กทีม ยึด ครม.#5
‘บิ๊กเจี๊ยบ-บิ๊กแดง’ แบ๊กอัพ

อุณหภูมิการเมืองร้อนขึ้นๆ หลังจากที่ทั้ง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. เผยไต๋ เตรียมแผนจะตั้งพรรคการเมือง
“ถ้าจำเป็นต้องตั้ง ก็ตั้ง แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องตั้ง ก็ไม่ตั้ง” พล.อ.ประวิตรระบุ
ก่อนที่จะสำทับด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า “เรื่องตั้งพรรค ยังไม่ได้คิดตอนนี้ ดูสถานการณ์ไปก่อน มีเวลาอีกตั้งปี”
อันถือเป็นท่าทีของ 2 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ที่สอดคล้องกัน เพราะจากที่เคยปฏิเสธว่า ไม่ตั้งพรรค ไม่เล่นการเมือง ไม่ลงเลือกตั้ง ก็กลายมาเป็น ดูสถานการณ์ก่อน
ขณะที่มีรายงานว่า นายทหารที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร แยกย้ายกันไปตั้งพรรค แต่ทว่า มีเป้าหมายเดียวกันคือ สนับสนุน คสช.
ทั้งเพื่อนร่วมรุ่น และอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้อง โดยเฉพาะเพื่อนสนิททั้งเตรียมทหาร 12 และ จปร.23 รวมทั้งการไปพูดคุยเจรจาปรองดองกับนักการเมืองของพรรคต่างๆ
โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจใดๆ ให้ คสช.
“เราต้องหาทางออกใหม่ หาพรรคทางเลือกใหม่ ให้ประชาชนมีทางเลือก อย่าไปส่งเสริมสนับสนุนเดิมๆ อยู่ตลอด ก็แล้วแต่ประชาชนจะเลือก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร จะไม่อาจไปลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แต่ก็ยังสามารถตั้งพรรคการเมือง เพื่อมาเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 นอกเหนือจากพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์
แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “ดูสถานการณ์ก่อน” นั้น อาจหมายถึงการรอเพื่อตัดสินใจว่าจะตั้งพรรคแบบเปิดเผย ชัดเจน และตั้งพรรคใหม่ หรือว่าเลือกใช้พรรคนอมินี หรือพรรคทหาร
แม้บรรดานักการเมืองจะเตือนให้นึกถึงบทเรียน “พรรคสามัคคีธรรม” ในยุค รสช. ที่ต้องจบด้วยพฤษภาทมิฬก็ตาม
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ศึกษาอดีต และนำข้อผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนเสมอมา ย่อมต้องมีการวางแผนไว้แล้ว เพียงแต่รอหยั่งเชิง หยั่งกระแสประชาชน และฝ่ายการเมือง
เพียงแค่นี้ ฝ่ายนักการเมือง พรรคการเมือง ก็ยิ่งมอง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร และ คสช. เป็นคู่แข่งทางการเมืองไปด้วยแล้ว แถมทั้ง คสช. มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ จึงอยู่ในฐานะได้เปรียบอีกด้วย ไม่แค่นั้น คสช. ยังยื้อที่จะพิจารณาปลดล็อกการทำกิจกรรมของพรรคการเมืองออกไปอีก โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร อ้างว่ากลัวจะเกิดความไม่สงบ ความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง รอให้นักการเมืองหยุดเคลื่อนไหวเสียก่อนจึงจะพิจารณาให้
“ไม่มี ผมไม่ได้ไปแอบเจอใคร ไม่ได้มีดีลกับใคร” พล.อ.ประวิตรออกตัว

แต่สิ่งหนึ่งที่อาจทำให้พี่น้องทั้ง 3 ป. ต้องคิดหนักว่า จะกระโดดสู่สนามการเมืองด้วยการตั้งพรรคนั้น จะยิ่งทำให้มีศัตรูในทางการเมืองมากขึ้น
เพราะแค่นี้ พล.อ.ประวิตร ก็ยังบ่นว่า ทั้งวงษ์สุวรรณ และจันทร์โอชา ต่างก็ตกเป็นเป้าของการถูกโจมตี ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจริง
ที่ผ่านมา จะเห็นได้จากน้องชายนายกฯ อย่าง บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา และครอบครัว จนมาถึง บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย ไม่ว่าทำอะไรก็โดน
โดยเฉพาะในระยะหลังมานี้ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ ก็โดนโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ป่ากระทิงแดง เรือเหาะ ทบ. เครื่องตรวจจับความเร็ว จนมาถึงเรื่องส่วนตัว
แต่กระนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ทั้ง 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ท้อแท้ แล้วล่าถอยออกไปจากการเมือง แต่อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ตัดสินใจเข้าสู่ถนนการเมืองเลยก็เป็นได้ แต่อาจเลือกแบบอยู่เบื้องหลัง
เพราะดูจากฐานอำนาจต่างๆ ทั้งกองทัพและข้าราชการในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว อำนาจของ คสช. ก็หยั่งรากลึกไม่น้อย
โดยเฉพาะไม้เด็ดคือ การมีกองทัพทั้งกองทัพสนับสนุน โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะโดนรัฐประหารเสียเองในอนาคต
เพราะจากที่รู้กันในกองทัพดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร มีการวางตัวใครไว้บ้างต่อเนื่องกัน
ทั้ง บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ที่ถูกวางตัวไว้ให้พร้อมจะเป็นผู้นำสำรอง และมี บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผช.ผบ.ทบ. น้องรักนายกฯ ที่จ่อคิวขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ยาวถึง 2563 และนายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือราชินี หลายคนที่ขยับขึ้นมาจ่ออีกหลายคน แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องพะวงหลัง

เหล่านี้ จึงทำให้ทั้ง 3 ป. ต้องจับมือกันให้แน่นยิ่งขึ้น และอาจสะท้อนถึงภาพ ครม. “ประยุทธ์ 5” ที่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังจัดวางตัว เพื่อที่จะเป็น ครม.ดรีมทีม ที่จะทำงานในช่วงปลายโรดแม็ปสู่การเลือกตั้ง
ที่เชื่อกันว่า ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ว่าจะบอบช้ำ ถูกโจมตีมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีถอดใจ แต่กลับยิ่งสู้ และจะแท็กทีมอยู่ใน ครม. ต่อไป
แม้จะมีการปลุกกระแสให้ลดจำนวนรัฐมนตรีที่เป็นทหารลง ทั้งการเอา รมต.ทหารเดิมออกไป แล้วเอาพลเรือนมืออาชีพเข้ามาแทน และทั้งแบบไม่เอาทหารเข้ามาเติมเพิ่ม
“ทำไมจะต้องเกลียดทหาร ที่ผ่านมาในช่วงแรกๆ ผมอยากถามว่า ใครเป็นคนทำงาน ไม่รู้จะรังเกียจทหารอะไรกันนักหนา ทหารทำทุกอย่างเริ่มต้นไว้ให้แล้ว แต่ถ้าจำเป็น ก็ปรับ แค่นั้นเอง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พร้อมๆ กับกระแสกดดันนายกฯ ให้ปรับ ครม. แบบไม่ต้องเกรงใจเพื่อนพ้องน้องพี่ จนทำให้ พล.อ.ประวิตร ที่มักถูกจับตามองทุกครั้งที่จะมีการปรับ ครม. ต้องประกาศว่า “ไม่ต้องเกรงใจผม นายกฯ ไม่ต้องเกรงใจผมเลย”

พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า พล.อ.ประวิตร น้อยใจนายกฯ หรือไม่ จากการที่ บิ๊กบี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจาก รมว.แรงงาน แบบที่ไม่มีใครคาดคิด หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจ ม.44 ในการแทรกแซงการโยกย้ายในกระทรวงแรงงาน
เพราะรู้กันดีว่า พล.อ.ศิริชัย เป็นน้องรักที่เติบโตมาจากถิ่นบูรพาพยัคฆ์ กับ พล.อ.ประวิตร และเป็นคนที่ พล.อ.ประวิตร ชวนมาช่วยทำงานเรื่องแรงงาน
แต่เราพอมีข่าวเม้าธ์มาตลอดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แฮปปี้กับการทำงานของ พล.อ.ศิริชัย จนเชื่อกันว่าจะถูกปรับออกจาก ครม.
การที่ พล.อ.ประวิตร ออกตัวว่า “ไม่ต้องเกรงใจผม” ก็เป็นการสะท้อนถึงความน้อยใจ แต่ก็พร้อมยอมรับ ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจอย่างไร
อีกทั้งยืนยันว่า จะไม่เสนอชื่อใครมาเป็น รมว.แรงงานอีก แต่ให้นายกฯ เป็นคนเลือกเอง

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์

แต่ด้วยความรักใคร่สนิทสนม ลึกซึ้ง อยู่กันมายิ่งกว่าญาติพี่น้อง ก็เชื่อกันว่า ถ้าไม่มี “ใบสั่ง” ใดๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่มีวันปรับ พล.อ.ประวิตร หรือ พล.อ.อนุพงษ์ ออกจาก ครม. แน่
เพราะไม่ใช่แค่พี่ แต่รัฐมนตรีที่เป็นเพื่อนนายกฯ อย่าง บิ๊กฉัตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ ก็กลายเป็นเป้าหมายแรก และ บิ๊กเต่า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ และน้องรักของนายกฯ อย่าง บิ๊กโย่ง พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน
แต่เป้าใหญ่คือ พล.อ.ฉัตรชัย ที่โดนมาทุกยุคทุกสมัย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เคยปรับออก แต่แค่เปลี่ยนย้ายกระทรวงเท่านั้น อีกทั้งที่ผ่านมา นายกฯ มักจะออกปากแก้ตัวแทน พล.อ.ฉัตรชัย เสมอ
จึงทำให้มีการย้อนมองไปถึงความสัมพันธ์ตั้งแต่สมัยอยู่ใน ทบ.ร่วมกัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้ง พล.อ.ฉัตรชัย เป็นรอง เสธ.ทบ. จนเป็น ผช.ผบ.ทบ. และควบ ผอ.ททบ.5
จนทำให้เชื่อกันว่า ยากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะปรับ พล.อ.ฉัตรชัย ออกจาก ครม. จนถูกเรียกว่าเป็น “กล่องดวงใจ” ของบิ๊กตู่
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยืนยันว่า กล่องดวงใจของผมมีเพียงครอบครัว ส่วนนอกนั้นเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงาน แต่ผมมีลิมิตขีดเส้น ว่าจะวางตัวอย่างไรกับเพื่อน และเพื่อนร่วมงาน
“ผมขอร้องว่า อย่าใช้คำว่า กล่องดวงใจ กล่องเงิน ของผม ไม่มี ผมทำของผมเองได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ขณะที่กระทรวงกลาโหม ก็มีความเคลื่อนไหว เพราะมีการลุ้นกันมากว่า จะมีการปรับเปลี่ยนตัว รมช.กลาโหม หรือไม่ เพราะกระแสคัมแบ๊กของ บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล อดีตปลัดกลาโหม ที่เพิ่งเกษียณไปนั้น แรงมาตลอด
ทั้งการไปเสียบเป็น รมว.แรงงาน หรือการโยก บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่น แล้วให้ พล.อ.ชัยชาญ มาเสียบ เพราะรู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตร ถูกใจ พล.อ.ชัยชาญ มาตลอดที่ทำงานด้วยกันมา 3 ปี
แต่ พล.อ.อุดมเดช ยืนยันว่า ไม่เคยได้รับการทาบทามหรือพูดคุยให้โยกย้ายไปกระทรวงไหน
แต่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร ก็บอกว่า ไม่มีการเปลี่ยนตัวในกลาโหม และไม่ตอบเรื่อง พล.อ.ชัยชาญ ว่าจะได้มาร่วม ครม. หรือไม่
“แต่ผมจะอยู่หรือเปล่า ก็ไม่รู้ แล้วแต่นายกฯ” บิ๊กป้อมระบุ
แต่ทุกครั้งที่มีการปรับ ครม. ก็จะทำให้บรรดานายทหารเกษียณ และที่เพิ่งเกษียณราชการ ดูคึกคักมีความหวัง ที่จะได้ร่วม ครม. เพราะต่างก็ล้วนเคยเป็น คสช. ทำงานให้ คสช. มาตลอด
แต่ทว่า เก้าอี้ก็มีจำกัด จึงทำให้แรงกดดันกลับมาตกอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะบาลานซ์อำนาจ และเงื่อนไขปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ได้อย่างไร
อันเป็นการสะท้อนภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ายังมีมนต์ขลังอยู่หรือไม่