ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 มกราคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ไทยเรามีสำนวนว่า ‘รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี’
หมายถึง ทำถูกวิธีย่อมได้ผลดี รักวัวต้องผูกล่ามไว้ ไม่เช่นนั้นวัวจะเดินเที่ยวเล่นตามใจก่อความเสียหาย หรืออาจถูกขโมยไปได้
เช่นเดียวกับรักลูกต้องรู้จักอบรมสั่งสอนเฆี่ยนตี ถ้าตามใจลูก ไม่เฆี่ยนตีสั่งสอนให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรไม่ควรทำอะไรควรทำ ลูกก็จะไม่เชื่อฟัง ต่อไปจะเสียคนในที่สุด
สิ่งที่ใช้ตีคือ ‘ไม้เรียว’ เป็นอุปกรณ์ลงโทษที่มีมานานเกินร้อยปี
สมัยอยุธยาก็มี ดังที่ “จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม” (ฉบับสันต์ ท. โกมลบุตร แปล) เล่าถึงการลงโทษเด็กว่า
“เด็กๆ นั้นไม่นุ่งผ้าจนกว่าจะมีอายุได้ 4 หรือ 5 ขวบ และเมื่อเด็กนุ่งผ้าแล้ว (ถึงจะทำความผิด) ผู้ใหญ่ก็จะไม่เลิกผ้าขึ้นเพื่อ (ตี) ลงโทษเลย และคนในภาคบูรพทิศนั้นถือกันว่าเป็นการน่าบัดสีอย่างยิ่ง ถ้าใครถูกโบยส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอันเปลือยเปล่า ซึ่งตามธรรมดาแล้ว (ร่างกายส่วนนั้นๆ) จะต้องได้รับการปกปิดไว้
ลางทีจะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง จึงได้เกิดธรรมเนียมใช้ไม้เรียวตีลงโทษ เพราะเหตุว่าแส้หรือกิ่งไม้นั้นไม่ทำให้รู้สึก (เจ็บ) พอเพียงที่จะแทรกเนื้อผ้าเข้าไปได้”
สิ่งที่มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ บันทึกนั้นสอดคล้องกับรายละเอียดที่ ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง ให้ไว้ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรสยาม” (กรมศิลปากรจัดพิมพ์ พ.ศ.2530)
“เด็กๆ ไม่นุ่งผ้าเลยจนถึงอายุห้าขวบ พออายุได้ห้าขวบพ่อแม่ก็ให้ลูกนุ่งผ้าผืนหนึ่ง ซึ่งจะถอดออกไม่ได้ แม้เวลาจะเฆี่ยนก็ไม่ไห้เปลื้องออก ชนชาติต่างๆ ในภาคตะวันออกถือเป็นเรื่องอัปยศที่จะเฆี่ยนใครคนหนึ่งบนส่วนของร่างกายที่ไม่มีผ้าปิด ประเพณีของชนชาติเหล่านั้นห้ามการลงโทษด้วยแส้และหวาย ซึ่งใช้อยู่ในชาติที่เจริญแล้ว เพราะชนชาติดังกล่าวไม่กลัวจะหยามความรู้สึกของเด็ก เมื่อให้เขารับโทษอย่างเดียวกับที่กฎหมายกำหนดให้คนผิดได้รับ”
คนที่รู้ซึ้งรสชาติไม้เรียวชนิดลืมไม่ลงคือ ‘สุนทรภู่’ ที่เตือนนักเรียนด้วยความหวังดีไว้ในแบบสอนอ่านเรื่อง “กาพย์พระไชยสุริยา” ว่า
“ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย
กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว
หันหวดปวดแสบแปลบเสียว หยิกซ้ำช้ำเขียว
อย่าเที่ยวเล่นจงจำ”
ตัวละครในวรรณคดีก็หนีไม่พ้นรสชาติข้างต้น หลังจากพระเวสสันดรประทานโอรสธิดาให้ชูชกพราหมณ์ ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเกิดแก่สองพี่น้องเป็นระยะๆ ดังที่ “มหาเวสสันดรชาดก” บรรยายว่า
“เมื่อชูชกพฤฒาจารย์พาสองกุมารไปวันนั้น เฒ่าอาธรรม์ล้มแล้วลุกขึ้นได้ ฉวยได้เรียวไม้ไล่ตีต้อนสองบังอรมาต่อหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระบิดาไม่ช้าที”
อีกครั้งที่ชูชกก้าวพลาดถลาล้ม เถาวัลย์ที่มัดสองกุมารก็หลุดออก ทั้งคู่รีบวิ่งกลับไปหาพระบิดา
“เฒ่าชราฉวยได้เรียวไม้ไล่ขบฟัน ฉุดลากกระชากรันด้วยโทโส…ตะแกก็เหลียวมาตีพระชาลีเข้าต้ำผาง แล้วก็เลี้ยวมาตีนางกัณหาให้ร้องอยู่กรี๊ดกรี๊ดหวีดหวาดเวทนา”
ผลจาก ‘ไม้เรียว’ หรือ ‘เรียวไม้’ ทำให้ “พระสรีรกายนี้เป็นริ้วรอยน้อยใหญ่ไม่มีดี”
ไม้เรียวในวรรณคดีกับชีวิตจริงไม่ต่างกัน ‘กาญจนาคพันธุ์’ เล่าถึงประสบการณ์วัยเยาว์ไว้ในหนังสือ “เด็กคลองบางหลวง” เล่ม 2 ว่า
“การลงโทษเด็กในสมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กนั้นเห็นนิยมทำกันอยู่สามอย่าง คือ เฆี่ยน มัดมือโยง และหักนิ้วมือให้งอไปทางหลังมากๆ
การเฆี่ยนใช้ไม้เรียวหรือไม้อะไรก็ได้เล็กๆ เรียวๆ ตีหรือหวดลงไปแรงๆ มักให้ถูกแถวก้นหรือขา และไม่ใช้หวายเลย (ดูจะถือกันว่าถ้าให้นอนคว่ำลงเฆี่ยนด้วยหวายหรือเฆี่ยนให้ถูกหลัง มันเป็นการโบยผู้ใหญ่ที่ทำผิด ไม่เหมาะและไม่ควรทำแก่เด็ก) เด็กชายที่เล่นน้ำนานไม่ขึ้น อย่างที่พูดกันว่า ‘เล่นเจ็ดหัวเจ็ดหาง’ หรือเล่นจนตะไคร่น้ำจับลูกคางเขียว มักถูกเฆี่ยน”
นอกจากถูกเฆี่ยน ยังมีถูกมัดมือโยงด้วยเชือกโดยมัดสองมือผูกติดไว้กับต้นไม้ เสา หรืออะไรที่สูงๆ หน่อย ดังจะเห็นได้จากบทละครนอกเรื่อง “สังข์ศิลป์ชัย” ตอนที่พระสังข์ศิลป์ชัยทูลท้าวเสนากุฏพระบิดาว่าเป็นต้นเหตุให้ตนถูกพระมารดาลงโทษ
“เมื่อนั้น พระสังข์ทูลแจ้งแถลงไข
เมื่อลูกบอกออกนามภูวไนย แม่โกรธนี่กระไรหาไม้เรียว
ห้ามมิให้ว่าข้าขืนว่า ท่านหวดซ้ายป่ายขวาจนขาเขียว
แล้วจับลูกผูกมือด้วยเชือกเกลียว ข้ากัดฟันเกรี้ยวเกรี้ยวไม่เกรงกลัว”
การมัดมือโยงแล้วเฆี่ยนด้วยไม้เรียว ใช่ว่าแม่จะทำเฉพาะลูกยังเล็กเท่านั้น ทำกับลูกโตแล้วก็มี ดังกรณีนางวันทองไม่ยอมเข้าหอกับขุนช้าง ถูกแม่ศรีประจันจัดหนักจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพี่เลี้ยง เสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” บรรยายว่า
“แกฉวยเชือกกระชากมาจากฝา
มัดมือยื้อโยงขึ้นหลังคา เอาไม้มาตีกลมระดมไป
จะเข้าหอฤๅไม่ให้เร่งว่า มิบอกมาแล้วแม่หาแก้ไม่
นางวันทองร้องดิ้นจะสิ้นใจ พี่สายทองไปไหนไม่เข้ามา”
รอยแผลจากไม้เรียวรักษาได้ด้วย ‘ไพล’ สมุนไพรประจำบ้าน นางสายทองและท้าวเสนากุฏทำแผลให้นางวันทองและพระสังข์ศิลป์ชัย ดังนี้
“สายทองรีบล้นไปฝนไพล ทาหลังไหล่ลูบที่แนวตี”
และ
“แล้วหยิบพานหมากมาค้นหาไพล ฝนทารอยไม้ให้ลูกแก้ว”
การมัดมือโยงแล้วเฆี่ยนด้วยไม้เรียวน่าจะเป็นการลงโทษที่ใช้กันมาแต่โบราณ แม่ใช้กับลูก รวมไปถึงเมียที่ไม่ให้เกียรติผัวก็ใช้กับผัวของตัวเอง ดังที่ “สุภาษิตสอนหญิง” มีข้อความว่า เมียสำแดงเดชโดยการ
“ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด ให้สามีอัปยศลงหดหัว
ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว มัดมือผัวแขวนแค่นเฆี่ยนตี”
เจออย่างนี้ ผัวว่าไง? •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022