ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มกราคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | การศึกษา |
เผยแพร่ |
กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต หลังกลุ่มผู้แทนศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ทั่วประเทศ ตบเท้าบุกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร้อง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ขอให้ปรับปรุง “ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ….” ฉบับที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ
เพราะกังวลว่าร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญ ในมาตรา 3 การ “ยกเลิก” คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 5 ฉบับ หากยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ไป หน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นภายใต้คำสั่ง คสช.จะหายวับไปทันที
โดยเฉพาะตำแหน่ง ศธจ.และตำแหน่งศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ที่จะถูกยกเลิกไป!!
ถึงขั้นที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล ศธ.ออกมาจี้ให้ปรับปรุงแก้ไขในประเด็นที่เป็นปัญหา เพราะอาจจะเป็นการเรียกแขก และเกิดปัญหาภายหลังได้!!
โดยนายวิษณุระบุว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายปฏิรูปการศึกษา รื้อระบบการศึกษาหลายอย่าง อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการแก้บางประเด็น ซึ่งทาง ศธ.เป็นห่วง เพราะมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนจากร่างของรัฐบาลไปเป็นอย่างอื่นหลายมาตรา แต่ที่เป็นสาระสำคัญมากมี 4 มาตรา ได้แก่
1. มาตรา 3 ที่เป็นการยกเลิกคำสั่ง คสช. 5 ฉบับ ทำให้อะไรบางอย่างที่สถาปนาขึ้นโดยคำสั่งของหัวหน้า คสช.สูญหายไปทันที
2. เปลี่ยนแปลงโดยการจัดการศึกษา ให้มีการศึกษาทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่โรงเรียน อาจเรียนที่บ้านโดยมีพ่อแม่สอน ในอดีตทำได้ แต่ครั้งนี้ให้ทำโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงแต่ไปแจ้งให้ทราบว่าจะสอนลูกตัวเอง วิธีนี้คือการจัดการศึกษาตามใจชอบ และได้วุฒิการศึกษา ซึ่งอาจจะกระทบต่อความมั่นคง
3. กระทบในด้านวิทยฐานะ ที่กำหนดไว้ว่าผู้ที่มีอำนาจในการจัดการศึกษา ที่ไม่ใช่ครูปกติ จะได้เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินวิทยฐานะ แต่บังเอิญเขาตัดคำว่าวิทยฐานะออกไป ซึ่งกระทบบุคลากรประเภทนี้ที่มีอยู่ 2 พันคนทั่วประเทศ
และ 4. ประเด็นเรื่องของการบริหารจัดการโรงเรียน
“4 มาตรานี้ เป็น 4 มาตราที่จะเรียกแขก นึกดูเอาแล้วกันว่าเรียกอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงขอให้ที่ประชุม ครม.มอบหมายให้วิปสภาไปพูดคุยกับวิปวุฒิสภา ไปเจรจากันในการที่จะปรับปรุงแก้ไขประเด็นเหล่านี้ เพราะบางประเด็นแค่เติมคำหนึ่งถึงสองคำเข้าไปเท่านั้น”
นายวิษณุระบุ
แม้รองนายกฯ จะออกโรงมาจี้ให้ต้องเร่งปรับปรุงเนื้อหาในร่างกฎหมายฉบับนี้แล้ว แต่อาจจะไม่ทันใจ เหล่า ศธจ.ทั่วประเทศจึงออกมาเรียกร้อง เพราะมองว่าหากร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ประกาศใช้ โดยที่ยังไม่ยกเลิกมาตรา 3(10) จะส่งผลให้ ศธจ.และ ศธภ.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ตามกฎหมาย เพราะกฎหมายที่ให้อำนาจถูกยกเลิก
ซึ่งจะกระทบต่อการทำงานในพื้นที่ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) จะไม่สามารถอนุมัติเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ การจัดการศึกษาในรูปแบบโฮมสกูล ที่ให้อำนาจ กศจ.ในการอนุมัติ จะหยุดชะงักทันที รวมถึงงานที่ได้ทำความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ก็จะต้องยุติ
ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ เนื่องจากขาดองค์ประกอบหลัก คือผู้แทนจาก กศจ. ส่วนครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนขั้นเงินเดือน การเลื่อนวิทยฐานะต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำได้ เพราะองค์ประชุมไม่ครบ
ที่สำคัญ หากยกเลิก ศธจ.และ ศธภ.จริง จะมีคนได้รับผลกระทบ และถูกเลิกจ้างกว่า 3,000 คน!!
นอกจากจะร้องเรียนที่ ศธ.แล้ว ตัวแทน ศธจ.ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องอีกด้วย
ขณะที่ น.ส.ตรีนุชระบุว่าร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ถือเป็นกฎหมายสำคัญ เหมือนเป็นธรรมนูญของการศึกษา รัฐบาลใช้เวลากว่า 5 ปีในการยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา โดย ศธ.ถือเป็นหน่วยปฏิบัติ ซึ่งมีหน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ประกอบกับได้รับเสียงสะท้อนจากหลายหน่วยงาน รวมถึง ศธจ.และ ศธภ.ที่มีข้อกังวลบางมาตราที่อาจส่งผลกระทบให้บางหน่วยงานอาจจะถูกยุบ ทำให้การบูรณาการงานในพื้นที่มีปัญหา
นอกจากนี้ น.ส.ตรีนุชระบุว่า ในส่วนของ ศธ.เห็นว่ายังจำเป็นต้องมีหน่วยงานนี้อยู่ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยบูรณาการงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด พัฒนาการจัดการศึกษาให้เป็นไปตามบริบทของพื้นที่ และหากต้องยุบ ศธจ.และ ศธภ.ก็จะกระทบทั้งบุคลากรที่ได้รับความเดือดร้อนหลายพันคน รวมถึงกระทบกับการทำงานพัฒนาการจัดการศึกษาในพื้นที่ด้วย
“ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) รวบรวมความคิดเห็น เพื่อเสนอให้ กมธ.วิสามัญ พิจารณา ปรับแก้ให้เหมาะสมต่อไป” น.ส.ตรีนุชระบุ
การออกมาเคลื่อนไหวของ ศธจ.ได้ผล เพราะล่าสุด กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่มีนายตวง อันทไชย สมาชิกวุฒิสภา เป็นประธาน เห็นชอบให้ทบทวนกฎหมายดังกล่าวแล้ว และให้คงหน่วยงานที่เกิดขึ้นจากคำสั่ง คสช.ไว้…
ได้แต่ตั้งความหวังในการประชุมรัฐสภา หลังทุกคนกลับมาจากการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ 2566 จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ทำให้ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ “ล่ม”
ซึ่งจะทำให้เวลา 8 ปีที่ผ่านมา เสียไปโดยเปล่าประโยชน์!!
มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลที่ ศธจ.ออกมาเคลื่อนไหว เพราะต้องการเรียกร้องผลประโยชน์ของ “ตน” เป็นสำคัญนั้น จริงหรือไม่??
เพราะนับตั้งแต่การจัดทำร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ มากว่า 7 ปี จะเห็นว่าเรื่องไหนที่สร้างผลกระทบกับข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา จะมี “ม็อบ” บุกมาที่ ศธ.แทบจะทันที เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ “ตนเอง” ที่จะต้องสูญเสียไป จริงหรือไม่!!
ขณะที่ก็มีเสียงสะท้อนจากคนกลาง มองว่าถ้ามีเรื่องใดที่กระทบต่อการศึกษาภาพรวม ต่อคุณภาพการศึกษา หรือส่งผลกระทบกับนักเรียน เด็ก และเยาวชน กลับ “ไม่มี” ใครลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของเด็ก ของส่วนรวม หรือคุณภาพการศึกษาเลย…
ถ้าข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้บริหารทุกระดับชั้น มัวแต่สนใจเรียกร้อง และปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักแล้ว
สังคมจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ จะสามารถปฏิรูปการศึกษาได้จริงทั้งระบบ ปฏิรูปคุณภาพการเรียนการสอน ปฏิรูปบุคลากรทางการศึกษา หรือปฏิรูปเยาวชน ได้อย่างแท้จริง!! •
| การศึกษา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022