ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มกราคม 2566 |
---|---|
ผู้เขียน | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ |
เผยแพร่ |
แม่บอกกับผมว่า ผมเกิดโดยฝีมือหมอตำแย เหมือนกับพี่ๆ ของผมทุกคน ณ ที่บ้านของเราเอง และแม่ยังเก็บสายสะดือของลูกทุกๆ คนเอาไว้
ไม่ได้เกิดโดยฝีมือการทำคลอดของหมอในยุคสมัยใหม่ ฟังดูแปลกสำหรับยุคนี้ โหย อะไรมันจะล้าหลังขนาดนั้น
ใช่ แค่เกิดยังเกิดในแบบล้าหลัง ส่วนเรื่องอื่นๆ อีกตั้งมากมาย จะเป็นยังไง ลองฟังผมเล่าต่อไป
แม้จะผ่านมาถึง 64 ปีแล้ว ซึ่งนานมากแผ่นดินที่ให้ผมเกิด ก็ยังมีเรื่องที่ล้าหลังไม่ได้พัฒนาให้ดีขึ้นเลย และเป็นเรื่องสำคัญ นับประสาอะไรกับการเกิดของผม แม้ทุกวันนี้เด็กยุคนี้จะเกิดในโรงพยาบาลที่ทันสมัยแล้วก็ตาม
ผมจะให้ทุกคนนั่ง Time Machine จากสถานที่ที่ผมอยู่ที่ Melbourne Australia ในฐานะ ‘ผู้ลี้ภัย’ เพื่อเหลียวหลังย้อนเวลาไปที่ประเทศไทยซึ่งผมจะเล่าจากความทรงจำที่เกิดขึ้นกับผม ที่ผมยังจำความได้ จะพยายามทบทวนให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด คำบางคำ เป็นคำที่คนในพื้นที่ใช้ในเวลานั้น
และนี่คือประสบการณ์ตรงของผม อะไรที่ทำให้ผมเป็นเช่นนี้
หมู่ที่ 2 ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
สถานที่แห่งนี้ คือถิ่นกำเนิดที่ผมได้ลืมตาดูโลกใบนี้ ในบ้านหลังคาจาก ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะกับฝากระดานไม้
จากครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นเกษตรกร เป็นชาวสวนผัก ผลไม้ ฐานะของครอบครัวค่อนข้างยากจน แต่อาจจะร่ำรวยสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมผมมา จนกระทั่งมาเป็นตำรวจเพื่อปราบปรามเหล่าคนพาลในแผ่นดินนี้
ผมเกิดในครอบครัวที่ใหญ่ มีพี่น้องถึง 10 คน เป็นผู้ชาย 7 คน ผู้หญิง 3 คน ผมเป็นคนที่ 5 มีพี่สาว 2 คน พี่ชาย 2 คน และน้องชาย น้องสาวที่เกิดตามผมมาอีก 5 คน
บ้านหลังนี้หลังคามุงด้วยจาก ที่อยู่ได้โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่มีตะเกียงโป๊ะ เติมน้ำมันก๊าดให้แสงสว่าง ใช้เตาถ่าน ฟืนในการหุงหาอาหาร บางครั้งฝนตกหนักมาก จนหลังคารั่วต้องใช้กะละมัง ถังน้ำ มาลองน้ำฝนบ่อยครั้ง
พ่อกับแม่ผมไม่เคยเรียนหนังสือที่ไหนมาก่อน พ่อผมพออ่านภาษาไทยออกได้บ้าง แต่เขียนไม่ค่อยได้
ผมสงสัยว่าทำไมพ่อไม่เคยไปโรงเรียนถึงอ่านหนังสือไทยได้
พ่อบอกว่า แอบไปดูเขา เรียกว่า ครูพักลักจำ แต่ภาษาจีนพ่ออ่านได้ค่อนข้างคล่องทีเดียว พ่อบอกว่าก๊งไม่ให้ไปเรียน เพราะความยากจน
ผมจำได้ว่าพ่อผมเก่งในการคิดคำนวณมาก สามารถใช้ลูกคิดได้รวดเร็วมาก ดีดลูกคิดเหมือนข้าวตอกแตก คิดคำนวณเลขในใจเหมือนเครื่องคิดเลขในสมัยนี้ สามารถคำนวณพื้นที่ คำนวณจำนวนปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
พ่อผมมีความเชี่ยวชาญมาก ยิ่งการคิดคำนวณจำนวนเงินนั้นโอกาสผิดพลาดน้อยมาก
นอกจากการคำนวณจะเชี่ยวชาญแล้ว พ่อผมยังแข็งแรงมาก ขึ้นชื่อในหมู่บ้านเลยครับ ขนาดไปเกณฑ์ทหารเพื่อเป็นทหารบก พ่อผมยังจัดเป็น ดี 1 ประเภท 1 แล้วไปเป็นทหารเกณฑ์ผลัด 1 นานถึง 1 ปี
จนถึงเวลานี้ พ่อผมมีอายุย่าง 98 ปีแล้ว ยังแข็งแรง เพียงแต่กำลังวังชาถดถอยไปตามสังขาร
ผมมาเรียน Horticulture หลักสูตร 6 เดือน เกี่ยวกับการดูแลพืชที่ออสเตรเลีย และความรู้ที่ได้ก็คล้ายกับที่ผมเรียนรู้จากพ่อผม ยังนึกถึงพ่อผมเลยว่า ทำไมพ่อผมมีความรู้เรื่องการเพาะปลูกมากมาย
ส่วนแม่ผมมีความจำเป็นเลิศ เก่งทั้งเรื่องการฝีมือ เย็บปักถักร้อย ฝีมือแม่ผมเนี้ยบมาก แม่ปักชื่อโรงเรียนบนอกเสื้อนักเรียนด้วยไหมสีน้ำเงินได้สวยงามมาก และยังตัดเย็บเสื้อผ้า กางเกงนักเรียนให้ลูกใส่ โดยไม่ต้องไปซื้อ แถมใช้มือเย็บโดยไม่มีจักรเย็บผ้า
แม่เอากางเกงของพ่อ 1 ตัวมาเลาะแล้วมาตัดเป็นกางเกงนักเรียนได้ 3 ตัว เวลานั้นพ่อแม่ผมฐานะไม่ดี เสื้อผ้าของลูกๆ จึงเก่าแต่ซักจนสะอาด ถ้าใส่จนขาด แม่จะปะจะชุนด้วยฝีมือของแม่เอง ถ้าตรงไหนมันขาดหรือเปื่อยมากก็จะเอาเศษผ้าที่มีสีใกล้เคียงกันมาปะ ยิ่งเป็นกางเกงขาสั้น บริเวณก้นจะขาดก่อนที่อื่น
วันที่มีเสื้อกางเกงใหม่ คือของขวัญที่ล้ำค่า และมีความสุขมาก เพราะเมื่อออกไปนอกบ้านจะมีเสื้อผ้าใส่ที่ไม่มีรอยปะ ไม่ต้องอายใคร
แม่จะมีอุปกรณ์การเย็บผ้าใส่ไว้ในกล่อง เรียกว่า กล่องเข็ม การประดิดประดอยของแม่เก่งมากๆ
ฝีมือในการทำอาหาร ทำขนมของแม่อร่อยจริงๆ แม่ทำอาหาร ทำขนมได้ทุกอย่าง และชอบทำขนมไว้ปริมาณมากๆ เวลาลูกๆ กลับจากโรงเรียนจะได้มีอะไรกิน ผมจำได้ แม่ชอบทำขนมสาลี่ ขนมกล้วยเป็นถาดใหญ่ๆ ข้าวต้มมัด ขนมดอกโสน ขนมชั้น
ถ้าเป็นเทศกาลตรุษจีน สารทจีน แม่กับพี่สาวจะทำขนมขายด้วย ทั้งขนมเข่ง ขนมเทียน ที่มีไส้หลากหลายชนิด รวมทั้งบ๊ะจ่าง ขนมจ้าง แม่ก็ทำได้อร่อยมาก
แม่ผมเป็นคนที่รักษาความสะอาดมาก เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ผ้าห่มนอน จะซักอย่างสะอาด รวมทั้งการจัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้าน ลูกๆ ทุกคนก็รับมาจากแม่
นอกจากนั้น แม่ยังมีความรู้เรื่องตำรับยาจีน รู้จักวิธีตุ๋นยาจีน เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยให้คนในครอบครัว และช่วยเหลือคนที่รู้จักได้อีกมากมาย
แม่เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าแม่เห็นใครทำอะไร หรือให้เขาสอนแม่แค่ครั้งเดียว แม่ก็จำกลับเอามาทำได้แล้ว
ซึ่งต่างจากผมที่ความจำผมจะสู้แม่ไม่ได้
ทั้งพ่อและแม่จะสอนให้ลูกๆ ทุกคนมีความซื่อสัตย์ ไม่ให้ไปเอาของของใคร และไม่ให้ไปเอาเปรียบใคร ถ้าอยากได้อะไร ต้องทำด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง
นอกจากพ่อแม่จะสอนลูกๆ แบบนี้แล้ว ยังทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จนลูกๆ เคยชินและเห็นเป็นเรื่องปกติของพ่อและแม่ และด้วยความซื่อจึงถูกคนโกงบ่อยครั้งมาก
เวลาขายพืชผักไป หรือเวลาเลี้ยงหมู ที่เมื่อก่อนใช้เวลานานเกือบปีกว่าจะโตจนขายได้ มีพวกคนมาซื้อหมูไปแล้วก็โกงไม่จ่ายเงิน พ่อกับแม่จะเจอบ่อยๆ และถูกพวกพ่อค้าคนกลางจากปากคลองตลาด กรุงเทพฯ กดราคาเอาเปรียบตลอดเวลา เมื่อมาซื้อที่สวน
นอกจากนั้น พ่อกับแม่ผมยังมีความรู้เรื่องวรรณกรรมจีน ที่พวกงิ้วเอามาเล่นที่โรงเจใกล้บ้าน รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่พ่อผมอ่านจากหนังสือจีนก็เอามาสอนลูกๆ เช่น ให้ลูกๆ ทุกคนมีความซื่อสัตย์เหมือนกวนอู ที่มีความซื่อสัตย์มากจนเลื่องลือไปทั่วแผ่นดินจีน และคนจีนนับถือและยกย่องให้เป็นเทพเจ้ากวนอู แม้จะเป็นคนจีนโพ้นทะเล แต่ก็ยังเก็บเอามาสอนลูกหลานที่เกิดในแผ่นดินใหม่
พ่อกับแม่จะพูดถึงขุนนางที่มีความรู้ความสามารถและทำเพื่อประชาชน และยึดถือความซื่อตรงเป็นหัวใจสำคัญ
เรื่องพงศาวดารจีน พ่อแม่จะเล่าบ่อยมาก พวกเราเด็กๆ ก็ฟังกันซ้ำๆ จนมันซึมเข้าไปในดีเอ็นเอ และซึมซับทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว มันทำให้จดจำได้ว่า
นี่เป็นคำสอนที่พ่อแม่มอบให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ และอยากให้ลูกเป็นแบบนี้
คำบอกเล่าของพ่อแม่ย่อมเอาเรื่องดีๆ มาสอน จะไม่สอนเรื่องที่ผิด ทั้งยังเอาคนที่คดโกงมาพูดให้ฟังเพื่อเปรียบเทียบ ว่าขุนนางเช่นนี้ ประชาชนทั้งแผ่นดินจะรุมประณามสาปแช่ง น่าอับอายแก่ญาติพี่น้องและวงศ์ตระกูล
พ่อกับแม่ก็ไม่ถึงกับตั้งใจสอนลูกตรงๆ เพียงแต่ชอบมาเล่าให้ฟังในเวลาที่พักผ่อนสบายๆ
พ่อผมจะย้ำเสมอๆ ให้เป็นคนรักษาคำพูด พูดอะไรไปแล้วต้องทำตามนั้น จึงจะเกิดความน่าเชื่อถือ
แม่ผมชอบพาลูกๆ ไปวัด ไปทำบุญ ไปปิดทองฝังลูกนิมิต ยิ่งสมัยก่อนผู้คนเชื่อกันว่า ถ้าปิดทองฝังลูกนิมิตได้ครบ 7 วัดจะไม่ตกนรก
นั่นเป็นความเชื่อ และแม่ผมก็เชื่อเช่นนั้น
ดังนั้น เมื่อมีโอกาส แม่จะกระเตงลูกไปทำบุญตามวัดวาอารามต่างๆ ทั้งใกล้และไกลจากละแวกบ้าน เช่น วัดราษฎร์บำรุง (หงอนไก่) ไปไหว้พระปิดทองพระป่าลิไลย์ และรอยพระพุทธบาท วัดนางสาว ไปไหว้หลวงพ่อดำ และมีโบสถ์มหาอุด มีประตูหน้าเข้าทางเดียว ซึ่งตามตำนานเล่ากันต่อๆ มาว่าเป็นโบสถ์ที่ลอยน้ำมาตามแม่น้ำท่าจีน ไปวัดดอนไก่ดี (วัดดอน) วัดไร่ขิง วัดหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และพาไปไหว้ศาลหลักเมือง ที่มหาชัย สมุทรสาคร บ่อยมากเพราะมีลูกมากหลายคน แม่จึงสลับพาลูกไป
ช่วงที่แม่พาผมไปวัด ผมยังเด็กมาก ที่ต่างจังหวัดถ้าวัดมีงานประจำปี ยิ่งเป็นงานฝังลูกนิมิต คนจะแน่นมากเบียดเสียดยัดทะนานกันเลยทีเดียว ผมจะจับมือและกำมือแม่ไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ผมกลัวมาก กลัวจะผลัดหลงกับแม่ และถ้าผลัดหลง ผมคงจะกลับบ้านไม่ถูกแน่ แม่จึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมในชีวิต
ทุกๆ เช้าที่ผมเห็นจนชินตา คือแม่จะเตรียมอาหารคาวหวาน หรือเฉพาะอาหารคาว ใส่ถาดพร้อมโถข้าวสวย เพื่อตักบาตรพระ บางครั้งพระจะมา 2 รูปบ้าง รูปเดียวบ้าง เป็นพระจากวัดนางสาว ซึ่งจะเดินจากวัดมาถึงบ้านผมเกือบ 4 กิโลเมตร บางครั้งเป็นพระจากวัดหงอนไก่ เดินมาบิณฑบาตถึงหน้าบ้าน ไกลกว่า 2 กิโลเมตร ฝนจะตกหนักแค่ไหน วันเวลาผ่านไปนานกี่ปีๆ แม่ก็ยังคงตักบาตรทุกเช้าอยู่อย่างนี้
และแม่จะเปิดวิทยุฟังรายการธรรมะเป็นประจำ ฟังหลวงพ่อพูดออกรายการวิทยุบ้าง หรือบางครั้งก็ฟังรายการทางวิทยุของอาคม ทันนิเทศ ที่เล่าเรื่องประวัติของหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี รวมทั้งสามก๊ก พงศาวดารจีนที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างทำงานไปก็ฟังรายการวิทยุไป ฟังเรื่องราวดีๆ การมีหลักความคิดที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นอย่างไร หลักธรรมะ และแก่นแท้คืออะไร
ยุคนั้นชาวบ้านอย่างบ้านผม ความรู้ส่วนมากก็มาจากวิทยุที่ใช้ถ่านไฟฉายนี่แหละ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022