ไทยแลนด์ : ‘รู้เขา รู้เรา’ เรื่องไปทัวร์เมืองนอกไว้บ้างก็ดี | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ | บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์

 

ไทยแลนด์

: ‘รู้เขา รู้เรา’ เรื่องไปทัวร์เมืองนอกไว้บ้างก็ดี

 

ดีอกดีใจกันยกใหญ่เมื่อมองเห็นตัวเลขปี 2565 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวบ้านเรา 11 ล้านกว่าคน บวกคนไทยกับต่างชาติพำนักในไทยเที่ยวไทยอีก 175 ล้านคนครั้ง ที่หมายถึงคนคนหนึ่งอาจเที่ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งทั้งปี

ก่อให้เกิดกระแสเงินสะพัดจากต่างชาติมาไทย ซึ่งปีนี้ส่วนใหญ่เป็น สปป.ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินเดีย รัสเซีย อเมริกา ออสเตรเลีย เป็นน้ำจิ้มแต่ก็สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศตลอดปี 1.5 ล้านล้านบาท

คิดเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้ปี 2562 ก่อนโควิด-19 จะแผลงฤทธิ์ ที่เคยทำยอดได้ 3.3 ล้านล้านบาทจากต่างชาติ 40 ล้านคน

ในนี้เป็นคนจีนมังกรขาวผสมเทาๆ 11 ล้านคน แล้วก็คาดว่าปี 2566 มีนาคมเมื่อจีนค่อยๆ เปิดประเทศจะมีมังกรขาวแฝงเทาอยู่บ้าง น่าจะมีต่างชาติ 20 ล้านคน ทำรายได้สูงจากอะไรไม่รู้ 80% ที่เคยได้ปี 2562 เป็น 2.8 ล้านล้านบาท

มองถึงการฟื้นตัวทัวร์นอกถึงจะไม่หวือหวาเหมือนเดิม แต่ได้ขนาดนี้ก็บุญโขแล้ว เพราะเหตุวิกฤตที่เกิดมันลุกลามเผาผลาญไปทั้งโลก สะกดทุกอย่างหยุดนิ่งหมด ฝูงบินหยุดบิน รถนำเที่ยวถูกเก็บเข้าอู่เหมือนสุสาน ธุรกิจนำเที่ยวเจ๊งไม่เป็นท่า คนตกงานกันระเนระนาด

ครั้นพอฝันร้ายค่อยจางหายไป ท่องเที่ยวถึงกลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันจากนานาประเทศที่หวังแย่งชิงเค้กก้อนเดียวกัน เราโชคดีหน่อยที่ได้ต่างชาติมากู้เศรษฐกิจ 11 ล้านคนกับรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท

ทำให้มองได้ว่าทรัพยากรท่องเที่ยวบ้านเรายังพอมีส่วนเรียกคนมาเที่ยว…แม้จำนวนจะยังไม่มากเท่าเดิมก็ตาม

โหมดหนึ่งซึ่งสะท้อนออร่าเร็วๆ นี้ ก็เมื่อมีการจัดอันดับ “เยาวราช” เป็นถนนสายที่ 8 ของโลกจาก 33 สายที่เจ๋งที่สุด และเหมาะสำหรับชวนคนไปเที่ยวกิน สนุกสนาน สัมผัสวัฒน ธรรมและวิถีชุมชนน่าสนใจ ทั้งนี้ ได้จากแบบสอบถามผู้อาศัยตามเมืองต่างๆ ถึง 20,000 คน

โดยนิตยสาร “ไทม์เอาท์ แบงค็อก” เครือข่ายนิตยสารเก่าแก่แห่งสหราชอาณาจักร ออกใน 109 เมือง 38 ประเทศ ผู้ติดตาม 39 ล้านคน เมืองไทยออกเป็นรายปักษ์ วางกลางปี 2559 และฉบับพฤษภาคม 2565

เจมส์ แมนนิ่ง ได้เป็นผู้เขียนรายงานข่าวดังกล่าวสรุปได้ว่า…ถนนสายดังกล่าวเป็นเมนโรดของกรุงเทพฯ สองฝั่งเต็มไปด้วยป้ายไฟเรียงราย ผู้คนและรถราพลุกพล่านทั้งกลางวันกลางคืน เป็นที่ตั้งของวัด ภัตตาคาร ร้านอาหาร สตรีตฟู้ด ตลาดขายสินค้า แหล่งฝังเข็มรักษาโรคกับยาจีนต้นตำรับโบราณ จุดเด่นเป็นย่านไชน่าทาวน์ที่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

ถนนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับ 1 ได้แก่ “เวลลิงตัน” เมืองมอนทรีออล แคนาดา ถัดมาเป็น “เกอร์ทรูด” เมลเบิร์น ออสเตรเลีย, “เกรท เวสเทิร์น” กลาสโกว์ สกอตแลนด์, “ย่งเค็ง” ไทเป, “ไท ผิง ฉาน” ฮ่องกง เป็นต้น

อันที่จริงเยาวราชจัดอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมานาน ชาวตะวันตกเริ่มคุ้นพอๆ กับสีลม สุขุมวิท ราชประสงค์ ถึงขนาดบรรจุไว้ในไอเทน เนอรี่ประจำวันว่าต้องไป

ยิ่งเป็นพวกแบ็กแพ็กเกอร์ถนนข้าวสารหรือบ่อนไก่ด้วยแล้วเป็นต้องไปให้ได้ เพราะพวกนี้รู้ข้อมูลดีก่อนมาเมืองไทย

คอนเทนต์นี้ “รู้เรา” แล้วว่า…เยาวราชเป็นสินค้าตัวใหม่มีชื่อเสียงไม่แพ้โซโห ลอนดอน หรือไชน่าทาวน์ โตรอนโต แคนาดา สมควรอย่างยิ่งที่ต้องเก็บรักษาให้ดี อย่าท่าดีทีเหลว

เมนต์นี้มาถึงคนไทยจะได้ “รู้เขา” บ้าง…ปี 2565 หลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวไทยหลังโควิด-19 สำแดงเดชกลายพันธุ์ไม่รู้ว่ากี่สกุล แต่คนยูโรเปียนและอเมริกันส่วนใหญ่เลิกแคร์กับการแพร่ระบาด เมินไม่สวมแมสก์และชุมนุมปาร์ตี้กันสนุกสนาน…คนไทยส่วนหนึ่งจึงฝืนทัวริ่งแบบเลิกสวมแมสก์ป้องกันตัว ด้วยกลัวจะเป็นตัวตลกกับคนเจ้าของบ้าน

ผลคือติดโควิดกลับเมืองไทยรักษาโรค ยอมกักตัวอยู่กับบ้านใส่แมสก์และปฏิบัติตนตามโซเชียล ดิสแทนซิ่ง กันสังคมบ้านเรารังเกียจ

ผิดกับคนญี่ปุ่นที่ซีเรียสเรื่องนี้กับคนในประเทศ และตั้งกำแพงเงื่อนไขกั้นคนต่างชาติเข้าไปท่องเที่ยว ไม่เว้นกระทั่งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ที่ร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกกลางปีที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ…

เพิ่งจะรอมชอมให้ต่างชาติที่มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 100 กว่าแห่งเข้าไปเที่ยวได้ ใจป้ำเสรีให้กับคนไทยเฮโลไปเที่ยวโดยไม่ต้องวีซ่า…ก็ต่อเมื่อจะสิ้นปี 2565 อยู่แล้ว

ถึงตรงนี้ญี่ปุ่นก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ที่เห็นคนของตนออกเที่ยวต่างประเทศกันหน้าตาเฉย จะห้ามก็ไม่ได้เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพประชาชน ทำให้รัฐต้องสูญเสียดุลกรณีแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวกันและกัน ยิ่งตกอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกเช่นนี้ด้วย

จึงตัดสินใจเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกมันเสียเลย จะได้มีรายได้มาเสริมสร้างเศรษฐกิจประเทศอีกทางหนึ่ง

ดราม่านี้อยากบอกเมื่อคนไทยฟีเวอร์เมืองนอก… “ทีทีอาร์สุดสัปดาห์ แม็กกาซีน” ฉบับ 1 ธันวาคม 2565 ได้รายงานถึงพฤติกรรมการเดินทางเที่ยวต่างแดนคนไทย โดยกำหนดจุดหมาย 5 ประเทศที่คนไทยนิยมชมชอบ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลที่คนไทย 2,000 คนตอบ ระบุมี 3 ประเทศที่อยากไปเที่ยวสูงสุดถึง 65% แต่น่าเสียดายที่ไม่เอ่ยชื่อประเทศ

ส่วนที่ชอบเพราะเคมีตรงกันกับอากาศเป็นใจ 49% หาที่เที่ยวใหม่ 48%

มี 3 เหตุผลสำหรับผู้เลือกไปทริปยาวๆ ด้วยไม่เคยไปมาก่อน 61% อยากเที่ยวกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท 42% ไปซ้ำครั้ง 36% ส่วนการวางแผนเดินทางคนไทยสมัยนี้จัดการเอง 41% ไปแบบส่วนตัว 21% และ 11% ยังติดใช้บริการทัวร์เอเย่นต์

ส่วนใหญ่เลือกเดินทางทริปเดียว 53% เดินทางอีกในช่วง 1 ปี 31% หรือ 3 ทริป 11% ระยะวันพัก 5-7 วัน 39% สูงขึ้น 8-10 วัน 22% และลากยาวเกิน 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน 12%

หมวดใช้จ่ายค่าอาหาร 56% ไม่อยากประสบปัญหา 52% หวังจะพบสถานที่ท่องเที่ยวอะเมซิ่ง 36% และคนไทยถูกมองว่าตระหนี่ค่าท่องเที่ยวอยู่ที่คนละ 45,000 บาทต่อทริป แต่ที่หมดกับค่าซื้อของอีก 40,000 บาท รูดการ์ด 69% จ่ายเงินสด 61% และผ่านระบบดิจิทัล 57%

ระวังสุดระหว่างท่องเที่ยวคือความมั่นคงปลอดภัย 60% สะดวกสบาย 56% และการคุ้มครองค่าใช้จ่าย 49%

นี่คือภาพรวมของ 5 ประเทศที่ได้จากการศึกษาข้อมูลคนไทย 2,000 คน

 

ลองมองญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวบ้าง ที่บริษัทบัตรเครดิตแห่งหนึ่งได้ทำการศึกษาถึงทัศนคติและพฤติกรรมคนไทยจะท่องเที่ยวญี่ปุ่นในปี 2566 ปรากฏว่าท็อปเท็นคือญี่ปุ่นเข้าป้าย 81% เหนือเกาหลีใต้ซึ่งมีเพียง 52% นอกนั้นเป็นนิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร อเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ฮ่องกง บ๊วยสุดอิตาลี 23%

คนไทยไปญี่ปุ่นครั้งแรก 53% ครั้งที่ 2 น้อยลงคือ 31% และ 11% ครั้งที่ 3 พักเฉลี่ย 5-7 วัน 39% 8-10 วัน 22% และ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน 12%

เหตุผลที่เลือกญี่ปุ่นเพราะชอบ 52% ต้องการสัมผัสความมหัศจรรย์ 36% ใช้เครดิตการ์ด 69% เงินสด 61% โอนเงินดิจิทัล 57%

3 สิ่งที่ตระหนักถึงเมื่อใช้เงินดิจิทัลคือความปลอดภัยสูงสุด 60% รองลงมาเป็นความสะดวกสบาย 56% คุ้มครองการใช้จ่าย 49%

จากข้อมูลที่ได้ทั้งหมดทำให้พอสรุปได้ว่า ทั้ง 5 ประเทศคนไทยวิตกเรื่องการระบาดโควิด-19 อยู่บ้างเหมือนกัน แต่น้อยมากเมื่อดูจากแบบสอบถามที่ตอบออกมา และส่วนใหญ่อยากเที่ยวแดนไกล ณ ที่นี้คือสหราชอาณาจักรเพราะไม่เคยไป มีเวลาท่องเที่ยวมากสุดเฉลี่ย 5-7 วัน

ใช้จ่ายค่าท่องเที่ยวแบบต่ำสุด แต่ช้อปปิ้งไม่อั้นใกล้เคียงค่าท่องเที่ยว ประเทศที่คนไทยยกนิ้วให้และอยากไปเที่ยวมากสุด ใช่เลย! ไม่พ้นญี่ปุ่นอยู่ดี และมากกว่าเกาหลีใต้นิดหน่อย และคนไทยมีความรู้สึกเหมือนกันหมดทั้ง 5 ประเทศ คือความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน

โหมดนี้ก็คล้ายกันกับความรู้สึกชาวต่างชาติที่มาเที่ยวบ้านล่าสุด 11 ล้านคน – นั่นแหละ!