เรือรบอับปาง คำถามถาโถม วิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ทัพเรือไทย

กลายเป็นเรื่องเศร้าครั้งใหญ่ จากการสูญเสียเรือหลวงสุโขทัย หนึ่งในเรือรบหลัก หลังแล่นฝ่าท้องทะเลที่เกรี้ยวกราด น้ำเข้าไปในลำเรือ ไม่สามารถระบายออกได้ทัน ก่อนจมลงสู่อ่าวไทยในที่สุด มีการประเมินว่ามูลค่าความเสียหายจากแค่ตัวเรือ น่าจะมากกว่า 5 พันล้านบาท

ไม่ใช่เรื่องช็อกแค่ประเทศไทย แต่เป็นเรื่องช็อกระดับโลก เพราะมีทหารสูญหายจำนวนมาก

สำนักข่าวใหญ่ของโลก ทั้ง CNN, BBC, New York Times, AP ต่างติดตามข่าวเรือรบไทยล่ม และเกาะติดภารกิจตามหาทหารที่สูญหาย จนกระทั่งพบศพหลายชีวิต สื่อใหญ่สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย แม้แต่สำนักข่าวใหญ่ของจีนถึงกับตั้งเป็นข่าวภาพนำ

นั่นหมายถึงเป็นข่าวที่มีคนสนใจอย่างมาก

ช่วงค่ำ 18 ธันวาคม ขณะที่คนไทยกำลังรอดูคู่ชิงฟุตบอลโลกระหว่างอาร์เจนตินาและฝรั่งเศส เวลาราวสองทุ่มนิดๆ จู่ๆ คนไทยก็ได้เห็นข่าวจากสื่อมวลชนหลายสำนัก อ้างแหล่งข่าวกองทัพเรือที่ไม่ระบุว่าเป็นใครตำแหน่งใด รายงานตรงกันว่า กองทัพเรือตอบโต้ข่าวลือเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ยืนยันไม่ถึงขั้นอับปาง แค่เกิดการเอียงเพราะลมแรง อยู่ห่างฝั่งแค่ 20 ไมล์ทะเล และเรือหลวงกระบุรีซึ่งอยู่ไม่ห่างก็กำลังไปช่วยแล้ว

นั่นคือครั้งแรกที่คนไทยรู้เรื่อง เกิดคำถามตามมาว่าเรือรบลำนี้ไม่ได้เล็กจะเอียงได้ยังไง แต่ลักษณะข่าวก็ยังทำให้รู้สึกว่าไม่น่าห่วงมาก ไม่ได้จมลงทันที มีกระบวนการช่วยเหลือเกิดขึ้น

เวลา 21.00 น. พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ให้สัมภาษณ์สื่อว่า กำลังพลของเรือหลวงสุโขทัยทุกนายปลอดภัย ก็ยิ่งทำให้คนอ่านรู้สึกมั่นใจ อีกไม่กี่นาทีเรือหลวงกระบุรีก็ถึง และยังส่งเรือหลวงภูมิพลฯ เรือหลวงอ่างทอง เฮลิคอปเตอร์ซีฮอว์ก ไปสมทบด้วย คาดว่าจะช่วยกำลังพลได้ทั้งหมด

แต่จากนั้นไม่นาน พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ให้สัมภาษณ์เปิดเผยถึงสาเหตุที่เรือเอียงว่าเกิดจากเครื่องจักรใหญ่ขัดข้อง ทำให้น้ำย้อนไหลกลับเข้าไปในตัวเรือ ทำให้เรือเอียง 60 องศา กำลังอยู่ระหว่างการเร่งระบายน้ำ แต่ก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่าหากระบายไม่ไหวก็อาจจะต้องสละเรือ

เวลาราว 3 ทุ่มกว่าๆ คือสัญญาณครั้งแรกที่คนไทยรับรู้ว่าเรืออาจถึงขั้นจม แต่ก็คงไม่กระทบกำลังพลมากเพราะเรือหลวงกระบุรีไปถึงแล้ว

เวลา 22.45 น พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ยืนยัน เรือหลวงสุโขทัยยังอยู่ในสถานะเอียง 60 องศา แต่ยังคงปลอดภัยสำหรับกำลังพลทั้งหมดที่ยังคงอยู่บนเรือ หากเคลื่อนย้ายมาลงเรือกระบุรีจะอันตรายมากกว่า การเกาะอยู่ที่ราวข้างกราบเรือจะปลอดภัยที่สุด แม้ปลดแพชูชีพ ก็ยังไม่ปลอดภัยเท่ากับอยู่ที่กราบเรือ

นั่นคือจุดยืนทางนโยบายชัดๆ ของผู้บัญชาการ ก่อนหน้าเรือจะจมไม่นาน

จากนั้นเวลาราวๆ เที่ยงคืน คนไทยจึงได้เห็นข่าวด่วน กองทัพเรือเปิดเผยเรือหลวงสุโขทัย อับปางแล้ว น้ำทะเลไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้า ผ่านท่อไอเสียข้างเรือ จนทำให้เครื่องผลิตไฟฟ้าดับ เครื่องจักรใหญ่หยุดทำงานไม่สามารถควบคุมเรือได้

ภารกิจช่วยเหลือกำลังพลดำเนินไปตลอดคืน กระทั่งเวลา 05.30 น. กองทัพเรือจึงรายงานช่วยเหลือได้แล้ว 73 นาย และยังคงอยู่ในน้ำ 33 นาย

นั่นคือช่วงเช้าไปจนถึงช่วงสายของวันที่ 19 ธันวาคม คนไทยจึงได้รู้ว่า มีทหารอีกมากกว่า 30 นาย สูญหายกลางอ่าวไทย ขึ้นมาบนเรือกระบุรีไม่สำเร็จ

30 กว่าชีวิตกลางอ่าวไทย ในคืนที่คลื่นลมแรงและหนาวจัด จึงกลายเป็นเรื่องช็อกคนไทยและชาวโลกทันที

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเป็นข่าวด่วน สื่อมวลชนทุกสำนักมุ่งไปที่ประจวบคีรีขันธ์

“ยืนยันว่ากำลังพลมีเสื้อชูชีพทุกนาย โดยเรือหลวงกระบุรีได้นำเสื้อชูชีพไปเสริมให้ทั้งหมด” พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ยังยืนยันผ่านสื่อ

เวลา 11.00 น 19 ธันวาคม กองทัพเรือออกมาเปิดเผยไทม์ไลน์เป็นครั้งแรก คนไทยจึงได้รับรู้ว่า น้ำเข้าเรือตั้งแต่เวลา 17.16 น. เครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้าดับ การสื่อสารล่มตั้งแต่เวลา 18.17 น. เรือเอียงชัด 45 องศาตั้งแต่เวลา 19.56 น. ผ่านมาชั่วโมงเดียว เวลา 21.03 น. เรือก็เอียง 80 องศา ก่อนจะตัดสินใจปลดแพชูชีพเมื่อเวลา 23.08 น. 10 นาทีจากนั้นเรือเริ่มจมจากท้ายเรือถึงป้อมปืน และจมลงในเวลา 23.46 น.

เกิดคำถามว่า มีเวลาหลายชั่วโมงก่อนเรือจะจม แต่นโยบายไม่อพยพกำลังพล จนเรือจมลงก่อนนั้นถูกหรือไม่ แม้กองทัพเรือจะระบุว่าคลื่นลมแรงมากก็ตาม ก็ไม่มีวิธีที่ปลอดภัยมากกว่ารอให้เรือจมแล้วค่อยช่วยแล้วหรือ

เย็นวันที่ 19 ธันวาคม กองทัพเรือก็ยังใช้เรือหลวง 3 ลำในการเร่งค้นหา 30 กว่าชีวิตในทะเล แม้จะมีคำถามมากมาย เรื่องประสิทธิภาพการค้นหา แต่ก็เริ่มมีคำถามถึงสาเหตุที่ทำให้ทหารมากกว่า 30 ชีวิตถึงต้องสูญหายลอยไปในทะเล โดยเฉพาะเมื่อพบว่ากำลังพลที่อยู่บนเรือขณะเกิดเหตุเกินกว่ากำลังพลประจำเรือปกติ

เช้าวันที่ 20 ธันวาคม คนไทยจึงได้รับรู้ว่าทหารที่อยู่บนเรือนั้นมาจากหลายหน่วย แล้วจำนวนไม่น้อย ไม่ใช่นายทหารชั้นประทวนหรือสัญญาบัตร เป็นทหารเกณฑ์ที่หลายคนว่ายน้ำไม่เป็น โดยเฉพาะที่สูญหายใน 31 คนนั้น ดูจากรายชื่อพบเป็นทหารเกณฑ์มากกว่า 10 คน

ในความไม่ชัดเจน สังคมดันเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า เสื้อชูชีพพอหรือไม่ ค้นหา 2 วันแล้วทำไมยังไม่พบ ทหาร 30 กว่าชีวิตสูญหายกลางทะเลได้อย่างไร ในขณะที่เครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพทุกเหล่าเต็มไปหมด

ช่วงสาย 20 ธันวาคม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ยังคงยืนยันว่าเสื้อชูชีพมีครบ และใช้คำว่ามีห่วงยางเพิ่มมาด้วย โดยอธิบายว่าเสื้อชูชีพมี 2 แบบ แบบห่วงยางก็ถือเป็นอุปกรณ์เซฟการ์ด

นั่นคือสัญญาณแรก เกี่ยวกับปัญหาเรื่องเสื้อชูชีพ ซึ่งกลายเป็นดราม่าในเวลาต่อมา

เวลาประมาณ 15.00 น. 20 ธันวาคม ญาติของจ่าโทนายหนึ่งซึ่งเป็นกำลังพลที่สูญหาย ได้เข้ามาถามข้อเท็จจริง ระหว่างที่ พล.ร.ท.พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กำลังให้สัมภาษณ์สื่อว่า หลานชายได้โทรศัพท์มาแจ้งกับครอบครัวว่าเรือกำลังจะจม แต่ไม่มีเสื้อชูชีพ เสื้อชูชีพไม่พอ ความปลอดภัยกลางทะเลไม่พอ จะให้ผู้ปกครองรู้สึกอย่างไร?

จากนั้นไม่นาน เวลา 18.16 น. คนไทยจึงได้รับรู้ข่าวเศร้า พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสธ.ทร. ได้แถลงข่าวยืนยันว่า พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 5 ราย ขณะที่ทหาร 1 รายซึ่งช่วยเหลือมาได้จาก 2 รายก็ได้เสียชีวิตลง วันนั้นจึงพบทหารเสียชีวิตแล้ว 6 ราย

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดคำถามในเชิงเทคนิคมากมาย ว่าทำไมน้ำเข้าเรือ จนสามารถทำให้เรือล่มได้ ทำไมจึงไม่สามารถควบคุมความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สามารถลดความรุนแรงจากน้ำเข้าเรือลงได้

ยังมีคำถามเรื่องการประเมินสภาพอากาศ กองทัพเรือน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดเพราะมีกรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือ ชำนาญเรื่องคลื่นลม การนำเรือรบขนาดระวางขับน้ำไม่ถึง 1,000 ตัน แล่นกลางคลื่นลมรุนแรงเพื่อภารกิจเชิงพิธีกรรม เหมาะสมหรือไม่ ก็น่าจะประเมินได้ตามกระบวนการ สำคัญที่สุดคือการนำกำลังพลที่ไม่ใช่ประจำเรือไปเพิ่ม มีการเตรียมการเรื่องความปลอดภัยหรือไม่

ต่อมา พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ยอมรับมีปัญหาเสื้อชูชีพไม่พอ

“การมีเสื้อชูชีพไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะรอดชีวิต…อย่ามองว่าคนไม่มีเสื้อชูชีพทั้ง 30 คนจะสูญเสียทั้งหมด เขามีการเตรียมพร้อม ช่วยกันอย่างไร สภาพอย่างนั้นทุกคนต้องช่วยเหลือกันและกัน” ผบ.ทร.กล่าว

นั่นแปลว่า หลัง 40 ช.ม.ผ่านไป กองทัพเรือเพิ่งออกมายอมรับ แสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือรู้ปัญหานี้มาตั้งแต่ต้น

คําแถลงจากปากผู้บัญชาการทหารเรือ นอกจากไม่ช่วยสร้างความมั่นใจ ยังถูกวิจารณ์ตามมาอย่างหนัก ตรรกะบางอย่างก็ไม่เหมาะสมที่จะพูด สะท้อนวิธีคิดที่มองความปลอดภัยเป็นรอง

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ตอบโต้ถ้อยแถลงทัพเรือทันทีว่า “ยังต้องมีอะไรมาแก้ตัวกับการที่ไม่มีเสื้อชูชีพเพียงพอกับทหารเรือที่อยู่บนเรือ โดยเฉพาะนี่คือเรือหลวง ไม่ใช่เรือหางยาวคลองแสนแสบ นี่มันคือกฎสำคัญมาก cardinal rule ที่การออกเรือทุกครั้ง เครื่องชูชีพต้องมีพร้อม”

ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เรียกร้องขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนสาเหตุว่าทำไมถึงต้องออกเรือ ทั้งที่มีคำเตือนพายุและคลื่นลมแรง รวมถึงกรณีเสื้อชูชีพไม่เพียงพอต่อลูกเรือ

เช่นเดียวกับภูมิธรรม เวชยชัย ที่ระบุว่ากองทัพเรือควรยอมรับความจริงและหาวิธีดูแลกำลังพลให้ดีที่สุดดีกว่า พร้อมรีบสรุปความผิดพลาดล้มเหลวให้เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดีกว่ามานั่งปกปิดข้อมูลไม่ตรงไปตรงมากับการเสนอข่าวให้ประชาชน

ด้านพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ แห่งพรรคก้าวไกล ระบุว่าจากคำชี้แจงของกองทัพ สะท้อนว่ากระบวนการบำรุงรักษาของกองทัพเรือมีปัญหา ซึ่งก็ไม่แปลกใจ หลายปีที่ผ่านมา กองทัพเรือจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำ และโครงการยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่สนับสนุนเรือดำน้ำ จนต้องลดงบประมาณส่วนอื่นลง

ขณะที่ท่าที พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม นอกจากจะมีแอ๊กชั่นน้อยมากต่อเรื่องที่เกิดขึ้น กลับให้สัมภาษณ์ตำหนิคนที่ออกมาวิจารณ์กองทัพเรือว่า “ซ้ำเติม” ทั้งที่อันที่จริง ไม่มีใครซ้ำเติม แต่เขากำลังหาความรับผิดชอบ เพราะมันมีคนเสียชีวิต สะท้อนการตีความผิดเพี้ยนไปใหญ่

ยังคงมีคำถามตามมาอีกมาก เช่น ทำไมให้ทหารเกณฑ์ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ขึ้นไปบนเรือ / ทำไมไม่ยอมเลื่อนพิธีการ เห็นอยู่ว่ามีคำเตือนพายุ / การซ่อมบำรุงเรือมีปัญหาใช่หรือไม่ น้ำถึงเข้าเรือมากขนาดนี้ / ทำไมเตรียมเสื้อชูชีพไม่พอ / ทำไมไม่ให้ทัพเรือนานาชาติร่วมช่วย ทั้งที่คนมากเครื่องมือเยอะขึ้น ยิ่งเพิ่มโอกาสหาผู้สูญหาย / ทำไมไม่พูดอะไรให้โปร่งใส ยิ่งปกปิดและให้คนมาไขปมภายหลัง คนยิ่งขาดความเชื่อมั่น

อดย้อนมองประวัติศาสตร์กองทัพไทยสมัยใหม่ไม่ได้ เครื่องบินรบไม่ได้ตกเพราะการรบ (แต่ปล่อยบินรบเพื่อนบ้านล้ำแดนอยู่นาน) เรือรบของกองทัพเรือจมเพราะการเดินเรือวันที่มีการเตือนเรื่องคลื่นลม บุคลากรจากกองทัพบกและตำรวจ ที่มีหน้าที่ปกป้องคน กลับก่อเหตุสะเทือนขวัญดังระดับโลกจากปัญหาความตึงเครียดภายใน คิดแล้วก็เศร้า

จะแก้อะไรไม่ได้ ถ้ายังมองไม่ออกว่า เหล่านี้คือผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมต่อเนื่องยาวนาน…

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– มองเรือรบล่มเพราะคลื่นลมแรง-ความสูญเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ อย่างเดียวจริงหรือ?
– เปิดไทม์ไลน์ เรือหลวงสุโขทัยล่ม จมทะเลอ่าวไทย ปิดตำนาน หนึ่งในเขี้ยวเล็บทร.ไทย
– ผบ.กองเรือยุทธการ ชี้ทะเลคลั่งสาเหตุหลัก ทำเรือสุโขทัยล่ม ยันเสื้อชูชีพ-ห่วงยางมีครบ
– ทร.ยังเดินหน้าค้นหากำลังพลอีก 31 นาย จากเรือล่ม ยัน ขณะนี้ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
– ทร. ยัน กำลังพล เรือหลวงสุโขทัยล่ม ดับแล้ว 4 นาย
– กลาโหม แจงยิบ ปม“เรือสุโขทัยล่ม” ยัน เรือไม่เก่า-งบฯซ่อมบำรุง 1.3 พันล้าน/ปี