โล่เงิน : รอยร้าวบอร์ดปฏิรูปตำรวจ จับตา “พิมพ์เขียว-ปั้นตุ๊กตา” โค้งสุดท้ายรับฟังเสียงต่าง?!

การปฏิรูปตำรวจ ภายใต้การขับเคลื่อนของ “บิ๊กสร้าง” พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 คล้ายกำลังเดินไปตามโรดแม็ป

ตามไทม์ไลน์ที่ตั้งไว้ สูตร 2-3-4 ขีดพีเรียดช่วงเวลาทำการ ช่วงนี้ต้นพฤศจิกายน เป็นห้วงตกตะกอน การร่างกฎหมายต่างๆ “ปั้นตุ๊กตา” เป็นรูปเป็นร่าง ก่อนเปิดรับฟังข้อคิดเห็นอย่างเต็มรูปแบบ ขัดเกลาตกผลึก เป็น “พิมพ์เขียวปฏิรูปตำรวจ”

ย้อนไปเมื่อกรกฎาคม 2560 ทันทีที่ออกคำสั่งตั้ง 36 อรหันต์ บอร์ดชุดใหญ่ปฏิรูปตำรวจ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญบอร์ดปฏิรูปองค์กรตำรวจปิดห้องประชุมลับให้การบ้าน คัดออกมา 5 กระดาษ เอ4

ซึ่ง “บิ๊กสร้าง” ยืนยันว่า เป็นเพียงลายแทงการปฏิรูปตำรวจ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ปั้นไว้ล่วงหน้า งานนี้ไร้ธง?!

ทว่า ความเคลื่อนไหวเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การตัดสินใจลาออกของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม หนึ่งใน 36 อรหันต์ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งคณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบการสอบสวนคดีอาญา หนึ่งในคณะอนุของบอร์ดใหญ่ปฏิรูปตำรวจ หลังจากก่อนหน้านี้ชุดอนุฯ ผลักดันจุดยืนแนวคิดให้อัยการร่วมกลั่นกรองสำนวนกับพนักงานสอบสวนตำรวจก่อนแจ้งข้อกล่าวหา มีเสียงค้านเสียงต้านข้อเสนอแนะจากตำรวจ นักกฎหมายเห็นต่างจากจุดยืนนี้มากมาย

คนใกล้ชิด พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ยอมรับว่า พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ลาออกจากตำแหน่งคณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบการสอบสวนคดีอาญาจริง

แต่ยังคงดำรงตำแหน่งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไป

สาเหตุที่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ลาออกจากคณะอนุกรรมการเนื่องจากในการประชุมหลายครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการปฏิรูปการสอบสวน คล้ายกับมีพิมพ์เขียวเอาไว้แล้ว

โดยเฉพาะประเด็นที่มีการเสนอให้อัยการเข้ามากลั่นกรองสำนวนก่อนแจ้งข้อหาผู้ต้องหานั้น ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ พยายามเสนอความเห็นที่แตกต่างเนื่องจากไม่เห็นด้วย แต่มักจะถูกตัดบท ไม่เปิดโอกาสให้พูดเพื่อเสนอความเห็น จึงเป็นเหตุให้ลาออกจากคณะอนุกรรมการดังกล่าว เนื่องจากรู้สึกว่าเหมือนไม่มีบทบาทในการแสดงความเห็น จึงไม่มีประโยชน์จะร่วมเป็นอนุฯ

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ชัชวาลย์ จะยังคงนั่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ซึ่งเป็นคณะกรรมการชุดใหญ่และเสนอความเห็นเพื่อการปฏิรูปต่อไป โดยเฉพาะในประเด็นที่อนุฯ ชุดนี้เสนอมา

พล.อ.บุญสร้าง ออกมาสยบข่าวนี้ ยืนยันไม่มีเกาเหลาในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ!!

ขณะที่ก่อนหน้านี้มีกระแสมีความไม่ลงรอยในเรื่องการเสนอความคิดเห็นในอนุฯ ชุดอื่นๆ

เช่น กรณีถกเถียงไม่กินเส้นกันจากกรณีเสนอให้โอนถ่ายภารกิจบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจไปให้หน่วยงานอื่น

มีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หัวขบวนสีกากีในบอร์ดอรหันต์เองนี่แหละที่ออกตัวไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้

ตลอดเวลาการปั้นตุ๊กตาปฏิรูปองค์กรสีกากี หลากหลายแนวคิดแนวทางที่ออกมา ทั้งที่มา ผบ.ตร. องค์ประกอบคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ คล้ายยังไร้ความชัดเจน ยังไม่มีอะไรหวือหวา หรือเห็นแสงสว่าง ไม่รู้ว่าเกาถูกที่คันหรือไม่ ปัญหาที่แท้จริงขององค์กรตำรวจ ที่มา และความสำคัญ ปมปัญหาแวดวงสีกากีถูกแก้ไข ขยี้ปม และถูกพูดถึง ถกคิดอย่างเป็นรูปธรรมแล้วหรือไม่ แต่ทว่า ในแวดวงสีกากีหยอกเอินกันพอแสบๆ คันๆ ว่า ฟังๆ ดูแนวคิดแนวทางที่เหล่ากรรมการอรหันต์เสนอ คล้ายย้อนกลับไปให้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 เวอร์ชั่นก่อนถูกฉีกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นั่นเอง

เสียงกระซิบเรื่องเกาเหลา ปฏิกิริยาของหนึ่งในบอร์ดอย่าง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ พอจะสะท้อนนัยยะ เห็นทำนองการปฏิรูปตำรวจยุคนี้ได้ในระดับหนึ่ง?!

อย่างไรก็ตาม กระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่จริงจังมากกว่าการจัดเวทีแบบตามธรรมเนียม การรับฟังข้อเสนอแนะฟังเสียงจากคนทำงานจริง เสียงจากประชาชน เสียงจากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญคลุกวงใน เพื่อให้การปฏิรูปตำรวจครั้งนี้เกิดประโยชน์จริง ช่วงเวลาพีเรียดสุดท้าย น่าจะพอเป็นประกายความหวัง หากการรับฟังความคิดเห็นและขัดเกลาเกิดขึ้นจริง โดยไร้อคติ โดยไม่มีพิมพ์ใดๆ

ข้อเสนอแนะหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ไม่แน่ใจนักว่าสำหรับรัฐบาลและบอร์ดปฏิรูป เสียงนี้น่าฟังหรือไม่?!

ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการด้านความมั่นคง และอดีตคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กล่าวตอนหนึ่ง ในการบรรยายพิเศษเรื่องการปฏิรูปตำรวจ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า การปฏิรูปที่มาจากความเกลียดชัง ขบวนการล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง จะเป็นแค่ละครการเมือง ที่จบลงด้วยความล้มเหลว

“ข้อน่าคิดประการสำคัญคือการปฏิรูปจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าสถานการณ์การเมืองไม่อยู่ในภาวะปกติ ด้วยประสบการณ์ชีวิต ผมไม่เคยเชื่อว่ารัฐประหารจะเป็นปัจจัยนำพาความสำเร็จของการปฏิรูปให้เกิดขึ้นได้ในสังคมไทย สิ่งที่ต้องคิดให้ชัดว่าการเมืองที่ไม่ปกติ ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมเพียงพอที่จะเป็นฐานสนับสนุนขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูป หรืออีกนัยยะหนึ่ง การปฏิรูปจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากการเมืองไร้ความชอบธรรม”

“ถ้าการปฏิรูปตำรวจจะเกิดขึ้นได้จริง ผมว่าข้อเรียกร้องไม่ต่างจากการปฏิรูปกองทัพ หากใครคุ้นเคยการปฏิรูปกองทัพ จะทราบว่าปฏิรูปทหาร ต้องสร้างทหารอาชีพให้ได้ ถ้าการปฏิรูปตำรวจจะเกิดข้อเรียกร้องอยู่บนฐานคิดเดียวกัน คือทำอย่างไรที่วันนี้ตำรวจไทยจะเป็นโปรเฟสชั่นแนลโปลิศ เป็นตำรวจอาชีพ”

“ผมว่าถ้าเราไม่เริ่มจากจุดเหล่านี้ เราจะตอบอะไรไม่ได้เลย ข้อถกเถียงหลายอย่างไม่ใช่ประเด็นที่เป็นสาระหลัก เพราะโจทย์ใหญ่ที่สุดคือการปฏิรูป ต้องสร้างความเป็นวิชาชีพให้กับองค์กร ในสภาวะการสร้างตำรวจอาชีพ ต้องคิดต่อว่าทำอย่างไรจะสร้างประสิทธิภาพความรับผิดชอบต่อชุมชน การปฏิบัติที่อยู่ในกรอบของความเป็นนิติรัฐ หรือ รูว์ ออฟ ลอว์ การเคารพสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการเลื่อนยศ ปรับย้ายที่เป็นธรรม”

“อีกทั้งต้องยุติเรื่องใหญ่ที่สุด หนึ่งในปัญหาของสำนักงานตำรวจปัจจุบัน คือ ส่วยโยกย้าย ต้องจบ ถ้ายุติส่วยโยกย้ายไม่ได้ ส่วยโยกย้ายจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการคอร์รัปชั่นที่ไม่มีจุดจบขององค์กรตำรวจ”

“อีกเรื่อง สวัสดิการตำรวจ ชีวิตที่เป็นจริงของตำรวจ ตำรวจไทยเป็นตำรวจที่แปลก เพราะต้องจ่ายเงินของตัวเองเพื่อซื้ออาวุธประจำกาย ซึ่งแทบไม่มีที่ไหนในโลกอนุญาตให้ทำ สิ่งที่ต้องถกให้ได้ในอนาคตคือในท้ายที่สุดเราจะสร้างองค์กรตำรวจอาชีพได้อย่างไร ทำอย่างไรจะนำความเคารพจากชุมชน และศักดิ์ศรีของตำรวจกลับคืน”

“3 ปีที่ได้เป็น ก.ตร. ผมมีความหวังเสมอว่าตำรวจจะเป็นองค์กรที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับจากประชาชน สิ่งที่ผมพูดวันนี้บางเรื่องอาจไกลตัว บางข้อเสนอยังไกล แต่ผมเรียนว่า วันหนึ่งเมื่อการเลือกตั้งกลับมาสู่ภาวะปกติ ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแข็งแรงพอ”

“ผมเรียนท่านว่าเราจะเอากฎหมายตำรวจปี 2547 กลับมา เราจะรื้อโครงสร้าง ถ้าทำได้ผมจะยกกฎหมายที่ออกโดยรัฐประหารที่เกี่ยวข้องกับตำรวจทิ้งทั้งหมดแล้วเอากฎหมายปี 2547 กลับมาใช้เป็นจุดเริ่มต้น ไม่อย่างนั้นเราจะฟื้นตำรวจไม่ได้ แล้วฝันของการปฏิรูปตำรวจจะเป็นจริง” ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวในการบรรยายเรื่องปฏิรูปตำรวจ

เป็นหนึ่งแนวคิดที่น่าฟัง แต่สำหรับบางคนอาจไม่อยากได้ยิน คล้ายเป็นคำปรามาสที่ชัด ซัดตรง ทว่าอย่างไรก็ตามต้องจับตามองว่า การปฏิรูปตำรวจ ที่มีรัฐธรรมนูญค้ำไว้ครั้งนี้ จะออกมาเป็นเช่นไร ภายใต้การนำของ พล.อ.บุญสร้าง นายทหารผู้นำการปฏิรูปกองทัพมาแล้ว จะถือธงนำปฏิรูปองค์กรตำรวจ ตอบโจทย์บริบทสังคมไทยที่แท้จริงได้หรือไม่