ประเทศดองศพ | เรื่องสั้น รางวัลชมเชยมติชนอวอร์ด 2022

เรื่องสั้น รางวัลชมเชยมติชนอวอร์ด 2022 | ฉมังฉาย

ประเทศดองศพ

 

ผมไม่แปลกใจอะไร คุณอาจเหมือนกับคนทั่วไป คือคงไม่เชื่อหากบอกว่าผมเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน แต่ช่างมันเถิดนะ ปัดเรื่องนายกฯ ออกไปซะ ถ้าจะมีอะไรน่าสนใจอยู่หน่อย มันก็จะเป็นเรื่องของความจริงที่อยู่เบื้องหลังตำแหน่งนั้นต่างหาก อยากรู้ไหมเล่า ถ้าอยากรู้เข้ามาใกล้ๆ นี่ อย่าต้องให้คนแก่อายุเฉียดแปดสิบใช้เสียงมากเลย

อย่างที่รู้กันในปี ค.ศ.1984 เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในประเทศ OTPA โดยนายทหารหนุ่มอายุห้าสิบปีนามว่าพลเอก ABCD การปฏิวัติหนนั้นได้เปลี่ยนโครงสร้างของประเทศไปหมด มีรัฐธรรมนูญบัญญัติใช้ไม่กี่มาตรา เพราะว่าคำพูดของท่านนายพล-ท่านอยากให้เรียกแบบนี้นะ หากใครเรียกว่าท่านนายกฯ ท่านจะไม่ปลื้ม ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับการแต่งตัวของท่านทุกประการ คือท่านนายพลในขณะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เคยสวมสูทสากลหรือชุดประจำชาติเลย ท่านจะใส่แต่เครื่องแบบทหารเท่านั้น เพราะขณะครองตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศนั้น ท่านยังยึดตำแหน่งสูงสุดของกองทัพไว้ด้วย-คำพูดของท่านนายพลถือเป็นกฎหมายด้วย

คุณอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! ในเมื่อท่านนายพลเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วผมเป็นตอนไหนเล่า อย่าด่วนใจร้อน ค่อยๆ ฟังไปนะครับ ท่านนายพลกลายเป็นขวัญใจของประชาชนอย่างที่ท่านไม่คาดฝันมาก่อน เพราะพวกเขาสะใจในการกระทำของท่าน อันที่จริงตอนตัดสินใจทำการปฏิวัตินั้น ท่านไม่ได้คิดเรื่องทำเพื่อชาติบ้านเมืองหรือประชาชนเท่าไรหรอก ท่านหวงตำแหน่งของท่านมากกว่า ตอนนั้นรัฐบาลเริ่มเผชิญกับภาวะวิกฤตศรัทธาของประชาชน บวกกับมีข่าวหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่าท่านจะถูกปลดกลางอากาศ เพราะไม่สนองตอบนโยบายของนายกรัฐมนตรีคนเก่า ซึ่งเป็นพลเรือน พูดง่ายๆ ท่านไปงัดข้อเขาหลายเรื่อง ดังนั้น หากคุณนับถือว่าท่านนายพลใจกล้ามากที่ทำการปฏิวัติ คุณอาจถูกท่านหัวเราะเยาะใส่ก็ได้ ท่านว่านักการเมืองส่วนใหญ่ขี้ขลาดตาขาว แม้จะพร่ำอ้างว่าเป็นตัวตายตัวแทนของประชาชน เพียงแค่ตบโต๊ะและตะคอกสักหน่อยว่าจะยึดอำนาจ คนพวกนี้ก็ขาสั่นพั่บๆ และเมื่อโยนผลประโยชน์ให้ ขี้คร้านละทิ้งอุดมการณ์มารับใช้คนฉีกรัฐธรรมนูญอย่างหมูอย่างหมาเลยเชียว คุณไม่ต้องเถียงหรอก ดูอย่างรัฐมนตรีเกษตรสิ ข้าวของแพงมากยุคนั้น ยังหน้าด้านหน้าทนว่าให้ใช้ให้กินแต่น้อยๆ แค่นั้นยังไม่พอนะ รัฐมนตรีด้านพลังงาน น้ำมันแพงทั้งที่ขุดน้ำมันได้เองแท้ๆ ยังเสนอหน้าร้องออกทีวีปาวๆ ว่าประเทศเราใช้น้ำมันถูกที่สุดในภูมิภาคนี้ มันเอาข้อมูลมาจากไหน ส่วนคนอื่นๆ เป็นรัฐมนตรีตรายาง เห็นไหมนักการเมืองพวกนี้ไร้สมองขนาดไหน หากพูดให้ทันสมัยเหมือนในยุคนี้ คือคนพวกนี้ไม่มีวิชั่นเลย มีเรื่องเดียวที่นับถือคนพวกนี้ได้คือความซื่อสัตย์ แต่ไม่ใช่ต่อประชาชนเจ้าของประเทศนะ แต่กับเจ้านายมันต่างหาก

เมื่อท่านนายพลเป็นขวัญใจของคนในประเทศท่านจึงไม่ค่อยอินังขังขอบกับความเป็นอยู่ของประชาชนสักเท่าใด ท่านสนใจแต่เรื่องเดียวคือจะทำอย่างไรถึงได้ครองตำแหน่งไว้นานๆ

 

ซึ่งความคิดนี้สอดคล้องกับความคิดของบิ๊ก EFG ท่านนี้เป็นนายพลเหมือนกัน เป็นรุ่นพี่และเป็นพี่เลิฟของนายกรัฐมนตรี โอ๊ะ! ขอโทษ ท่านสั่งแล้วไงว่าไม่ให้เรียกว่านายกฯ บิ๊ก EFG เป็นพี่เลิฟของท่านนายพล กินตำแหน่งในรัฐบาลคือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในความเหมือนก็มีความแตกต่างปนอยู่นิดหนึ่ง คือตัวบิ๊ก EFG เป็นคนคลั่งชาติ ภูมิใจในความเป็น OTPA เอามากๆ อันนี้แหละทำให้ท่านผิดพลาดในเรื่องหนึ่งจนได้ ซึ่งผมจะเล่าทีหลัง

อำนาจได้มาด้วยกระบอกปืนรถถังอย่างง่ายดาย และอำนาจก็ต้องสูญสลายไปด้วยความตาย

เรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าท่านนายพลป่วยด้วยโรคประหลาดแบบกะทันหัน และในที่สุดก็เสียชีวิตอย่างเงียบๆ ในเซฟเฮาส์หลังเป็นนายกรัฐมนตรีได้สี่ปีนิดๆ เรื่องถึงแก่กรรมนี้มีคนทราบเพียงไม่กี่คน เป็นไปในวงจำกัดมากๆ ถามว่าครั้นไร้ซึ่งท่านนายพลแล้ว บิ๊ก EFG ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำประเทศเลยไม่ได้หรือ ได้ แต่ไม่ทำ คนอย่างบิ๊ก EFG ไม่ใช่คนโง่ ฉลาดเป็นกรด เรียนเป็นที่หนึ่งของรุ่นเชียวนะ การรับตำแหน่งรองนายกฯ ท่านก็ได้ประโยชน์มหาศาลแล้ว บวกกับจากการประเมินของท่าน คนในประเทศนี้ยังหลงใหลในตัวท่านนายพลไม่รู้คลาย

“เราไม่ควรเผาศพท่านนายพลนะ เราจะต้องใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาช่วยรักษาศพของท่านให้อยู่ในสภาพเดิมเป็นระยะเวลายาวนาน นานพอที่เราจะคุ้นเคยกับการใช้อำนาจในการปกครองโดยไม่มีท่านนายพล”

บิ๊ก EFG ผุดไอเดียขึ้นในค่ำคืนนั้น ซึ่งเป็นการประชุมลับ มีคนถามขึ้น หากจำไม่ผิดน่าจะเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย คนคนนี้เป็นเพื่อนทหารรุ่นน้องของท่านนายพล เคยสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีคนเก่า แต่ยอมร่วมรัฐบาลนี้ด้วย เพราะมีตรรกะว่า หักหลัง (เพื่อน) เพื่อชาติ “เที่ยวนี้ บิ๊ก EFG เป็นนายกฯ แทนเลยนะครับ” แต่ด้วยความฉลาดหลักแหลมและประเมินสถานการณ์เป็น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงปฏิเสธตำแหน่งนั้นไป พร้อมทั้งให้คำเสนอแนะว่าท่านจะยอมนั่งในตำแหน่งรักษาการนายกฯ ไปพลางๆ ก่อนเท่านั้น โดยที่เราจะรักษาสภาพศพให้ดีไปสักระยะหนึ่ง

ดังนั้น พวกเขาจึงประชุมกันต่อในเรื่องการเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิทยาศาสตร์ที่จะมาทำการดองศพท่านนายพล ในยุคนั้นมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนในต่างประเทศ ซึ่งฝากผลงานไว้พอสมควรกับการดองศพผู้นำของประเทศเผด็จการหลายประเทศ รวมถึงพระศพของกษัตริย์บางพระองค์ในบางประเทศ ในที่ประชุมต้องการนำเข้านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น แต่อย่างที่ผมกล่าวกับคุณในเบื้องต้นแล้วไงว่า บิ๊ก EFG เป็นคนคลั่งชาติ ท่านจึงปัดข้อเสนอนั้นทิ้งไปอย่างไม่แยแสและคาดการณ์ไม่ถึง ท่านทุบโต๊ะและสั่งการเสียงดัง ให้ควานหานักวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ “เราต้องโชว์ศักยภาพให้แก่ชาวโลกให้เห็น แล้วตอนนั้นประเทศ OPTA จะยิ่งใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์โลก” อันที่จริงประเทศเราเล็กนิดเดียว แทบมองไม่เห็นในแผนที่โลกด้วยซ้ำ และไม่เคยมีอะไรทางวิชาการโดดเด่นเลย

แล้วหวยก็ไปออกที่ศาสตราจารย์ LLSA แห่งมหาวิทยาลัย MMNNHK

 

ความจริงแล้วศาสตราจารย์ผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก แต่ก็เป็นที่รู้จักพอประมาณในยุคนั้น ตอนหัวหน้าตำรวจลับไปที่บ้านและแจ้งข่าว เขาก็ปฏิเสธ เพราะทราบถึงศักยภาพของตนเองดี แต่ด้วยถูกบังคับอย่างหนักหน่วง เขาจึงยอมรับข้อเสนอนั้นแบบจำนน LLSA ตั้งคณะบุคคลมาอีกสี่คนเพื่อทำการดองศพท่านนายพล

บิ๊ก EFG ย้ำเสมอว่าเราต้องใช้ประโยชน์จากความเขลาของประชาชน ซึ่งศรัทธาและเลื่อมใสในตัวท่านนายพลในการรักษาอำนาจของเราสืบไป

 

ศาสตราจารย์ใช้วิธีการดองศพแบบดั้งเดิมเมื่อหกสิบปีที่แล้ว เป็นวิธีที่ศาสตราจารย์โวโรบิออฟ หัวหน้ากายวิภาคศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์คอฟในยูเครนใช้กับศพเลนินในปี 1924 คือจะแช่ศพใน balsamic liquid ในระหว่างนี้รัฐบาลได้ออกข่าวว่าท่านผู้นำทำภารกิจลับสุดยอดทางทหาร ดังนั้น ท่านจะหายตัวไปสักพักหนึ่ง และจะไม่มีการให้ข่าวใดๆ แก่สื่อมวลชน

ถึงรู้ส่วนผสมของสารละลายและขั้นตอนดี แต่ด้วยไม่เคยทำมาก่อนและขาดความชำนาญ แทนที่ศพของท่านนายพลของเราจะคงสภาพได้ดีเยี่ยมอย่างศพเลนิน ท่านนายพลก็เริ่มเปื่อยเอาเปื่อยเอา เพราะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในหลายขั้นตอน ในที่สุดงานนี้ไม่เพียงแต่ท่านนายพลเท่านั้นที่เปื่อยสลาย เนื่องจากบิ๊ก EFG โกรธมาก ทำให้ศาสตราจารย์ LLSA แห่ง MMNNKH กับพรรคพวกก็พากันเปื่อยเน่าไปด้วย ณ ที่ใดสักแห่งในประเทศนี้

ถึงตอนนี้บิ๊ก EFG ยังไม่ละความพยายามที่จะรักษาอำนาจไว้บนความโง่เขลาของประชาชนต่อไป

แล้วตรงนี้เองที่ผมได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้สมัยนั้น (รวมถึงตำแหน่งนายพลแห่งกองทัพด้วย แต่อย่าใส่ใจเรื่องนายพลเลยนะ)

“ผมนี่นะท่าน” ผมถาม ไม่มั่นใจในความรู้ความสามารถของตัวเองเอาเสียเลย

บิ๊ก EFG ตอบว่าใช่ และอธิบายต่ออีกว่าในเมื่อเราไม่มีศพสภาพดีของท่านผู้นำมาเป็นหลักยึดเหนี่ยวระหว่างรัฐบาลกับประชาชนแล้ว เราจำเป็นต้องเอาคนหน้าเหมือนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งผมในตอนนั้นมีหน้าที่เป็นตัวลวงให้แก่ท่านนายพล เพื่อความปลอดภัย-สูงสุด-ของท่าน หรือกล่าวง่ายๆ คือ มาเป็นเป้ากระสุนเจาะกะโหลกแทนท่านนายพลนั่นแหละ ด้วยผลตอบแทนในอัตราสูงมาก

ครั้นตกในภาวะจำยอม เพราะท่านขู่จะเอาชีวิตพ่อแม่ของผมหากเกมนี้ผมไม่เล่นด้วย ผมจึงขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีตอนอายุสี่สิบปีนิดๆ โดยมีรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงบงการอยู่เบื้องหลัง ถามว่าแล้วท่านนายพลของเราล่ะไปไหนเสีย จะยากอะไรกับการจัดเผาศพเน่าๆ นั้น โยนเข้าเมรุที่วัดใดสักแห่งหนึ่ง เผาอย่างเงียบๆ ตามคำบัญชาของบิ๊ก EFG เท่านี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว ส่วนครอบครัวของท่านนายพล บิ๊ก EFG ยังให้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างสูงสืบไป ดังนั้น ใครเล่าจะโง่ออกมาโวยวายให้เสียเงินเสียผลประโยชน์ล่ะ

จริง! ใครเล่าจะโง่ออกมาโวยวาย ผมยึดคติข้อนี้เหนียวแน่น ดังนั้น ผมจึงสวมรอยสวมร่างเป็นท่านนายพลอีกต่อไป โดยไม่ต้องใส่ใจอะไรมากนักกับประชาชน ผมทำตัวสบายๆ ในบางวัน ทำตัวเป็นที่น่าปวดหัวแก่นักข่าวในบางครั้ง วันไหนผมอยากหยาบคายผมก็หยาบคาย วันไหนผมอยากพูดจาเกี้ยวนักข่าว (สาวนะ) ผมก็ทำ บางวันผมมาในมาดแบกปัญหาโลกก็มี บิ๊ก EFG ไม่สนหรอกว่าผมจะมีพฤติกรรมหลุดๆ แบบไหน ขอให้ท่านได้โกยประโยชน์จากการดำรงตำแหน่งของผมก็พอแล้ว แต่ก็มีบ้างที่ท่านตักเตือนผมด้วยความฉุนเฉียวว่า ให้ผมอยู่ในมาดของนักปกครองที่ดี เดี๋ยวกระแสนิยมจะเสื่อม ผมอยากหัวเราะเยาะใส่หน้าท่านจัง นักปกครองที่ดีหรือ ไอ้ที่อุปโลกน์ว่าผมเป็นท่านนายพล ไอ้ที่ทำกันอย่างลับๆ อยู่นี้ เป็นการปกครองที่ดีใช่ไหม

แต่กระนั้นผมยังคงเล่นไปตามบทบาทที่ท่านสั่งเรื่อยมา

 

หลังๆ มานี้ผมต้องออกงานบ่อยมาก เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด-จริงๆ แล้วตอนเป็นตัวปลอมให้แก่ท่านนายพลผมก็ออกงานแทนหลายครั้งอยู่เหมือนกันนะ ทว่า เป็นงานที่ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก ก็ประเภทตัดริบบิ้น แจกยิ้มให้ผู้สื่อข่าว แจกประกาศนียบัตรเด็กอนุบาล หรือบางงานอาจพูดอะไรที่เท่ๆ นิดหน่อย ให้รู้ว่ามีมันสมองก็เท่านั้นเอง-แต่ถึงกระนั้นก็ยังงดงานไม่ได้ อาจมีบางหนมอบหมายให้ตัวปลอมไปออกงานแทน แน่นอนเพื่อความปลอดภัยของผู้นำประเทศก็ต้องมีคนหน้าเหมือนผมมาเป็นตัวล่อตัวลวงอีกคนเช่นกัน คนนี้คล้ายผม แต่ไม่เหมือนท่านนายพล ABCD เสียทีเดียว เพราะจะหาคนที่เหมือนเป๊ะๆ ยากมาก จากการไปนั่นไปนี่บ่อยของผม พบความจริงว่าประเทศนี้มีสีซีดๆ อย่างไงๆ พิกลอยู่ เพราะมองไปทางใดเห็นความหม่นหมอง ซ้ำร้ายเห็นโลกแต่เพียงด้านเดียวหรือมิติเดียวด้วย พวกผู้คนที่ (ถูกต้อน) มาต้อนรับผมก็มีสภาพไร้จิตวิญญาณ ไอ้พวกที่คอยเย้วๆ คำรามประท้วงใส่ผมนอกงานโน่น-เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ-ต่างหากที่ผมเห็นว่ามีชีวิตชีวามีเลือดลมแล่นในกาย เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมจึงมองอะไรผิดไปจากที่บิ๊ก EFG หรือรัฐมนตรีบางคนรายงานว่าบ้านเมืองยังปกติอยู่ และเมื่อพบว่าทุกแห่งที่ผมย่างกรายไปถึงในฐานะผู้นำประเทศมีแต่ภาพซึ่งไม่เจริญหูเจริญตา ทุกอย่างถูกจัดฉากไปเสียหมด ผมจึงตัดสินใจออกงานน้อยลง โดยมอบหมายให้ตัวปลอมไปปฏิบัติหน้าที่แทนมากขึ้น

และในขณะที่ผมนั่งอยู่ในเซฟเฮาส์เพียงลำพัง พบว่าตนเองมีความอิสระสูงมากๆ จิตใจผมสงบเยือกเย็นเอามากๆ แต่ทว่า ผมรู้ดีว่าความสงบหรือความอิสระของผมนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะไม่ปกติของประเทศ เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความไม่อิสระของผู้คน ประชาชนในประเทศนี้ถูกดองมานานแค่ไหนแล้ว สี่ปีนิดๆ ของท่านนายพลบวกกับสองปีของผม อะ…อ่า หกปีกว่าแล้วหรือที่ประเทศแห่งนี้ขาดโอกาสการเติบโต หกปีกว่าแล้วหรือที่พวกเราเอาแต่สูบกินเลือดเนื้อชีวิตพวกเขา ถึงผมคิดได้แบบนั้นผมก็ยังไม่กล้าหาญพอที่จะคืนอำนาจให้แก่พวกเขา อย่าลืมว่าพ่อแม่ของผมอยู่ในกำมือของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงอยู่นะ แต่ความคิดนี้ไม่ได้คงทนถาวรนานเกินไปหรอก พูดง่ายๆ คือมันไม่ได้ถูกดองไว้นานอย่างประเทศนี้

เพียงแค่หกเดือนให้หลังผมก็เปลี่ยนความคิด

เหตุมาจากเรื่องของคนหน้าเหมือนผมน่ะ เขาถูกยิงขณะที่ไปออกงานแทนผมงานหนึ่ง-งานไม่ต้องใช้สมองน่ะ- อาการของเขาไม่หนักเท่าไร กระสุนไม่ได้เจาะกะโหลก ทราบตอนหลังว่านี่เป็นการยิงทางการเมืองหรือกระสุนการเมือง คือว่าเป็นการยิงเพื่อหยั่งคะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อท่านนายพล ซึ่งปรากฏว่าจำนวนคนที่เห็นใจกับคนที่สะใจมีพอๆ กัน จนบิ๊ก EFG ซึ่งเป็นคนคิดและสั่งการแผนการนี้หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเป็นอาทิตย์ๆ เลย คนไม่ชั่วร้ายสุดๆ คิดแผนแบบนี้ไม่ได้หรอกคุณว่าจริงไหม

ในมื้อค่ำวันหนึ่งผมเอ่ยเรื่องการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนกับรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ผมบอกท่านว่าจะประกาศให้มีการเลือกตั้งภายในสามเดือน โดยผมจะไม่ลงแข่งขันด้วย

ท่านถามผมด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่าผมแน่ใจมากแค่ไหนที่ปรารภออกมาอย่างนั้น ท่านเตือนว่าผมคงลืมไปแล้วว่าพ่อแม่ของผมตกอยู่ในฐานะอะไร ผมไม่ลืมหรอกพ่อแม่ตกอยู่ในฐานะตัวประกัน ท่านพร้อมจะปลิดชีพพวกเขาได้ทุกเมื่อหากผมทรยศ ทรยศงั้นรึ นึกไปก็ได้แต่ขำขื่น ใครกันแน่เป็นคนทรยศ ไม่ใช่พวกเราทั้งหมดนี้หรอกหรือที่เป็นคนทรยศ พวกเรานี้แหละเป็นตัวแม่เลยละในเรื่องหักหลังบ้านเมืองหักหลังประชาชน ผมสะกิดเตือนเรื่องนี้กับบิ๊ก EFG ท่านระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วพูดเชิงข่มขู่ว่า พูดไปเถอะ ผมจะพูดอะไรก็ได้ แต่ความจริงมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความจริงคือท่านคิดว่าผมตกเป็นเบี้ยล่างของท่าน

คุณอาจถามผมว่าทำไมผมไม่ประกาศเรื่องการตายของท่านนายพลออกไปล่ะ ผมจะบอกแบบนี้นะ คุณคิดหรือว่าจะมีคนเชื่อว่าท่านนายพลตายไปแล้ว อย่าลืมคำพูดของบิ๊ก EFG สิ เราต้องใช้ประโยชน์จากความเขลาของประชาชน นี่แหละคือคำพูดของท่าน นี่แหละคือเมนพอนท์ของการครองอำนาจที่ผ่านมา และประการหนึ่งศพอยู่ไหนล่ะ และประการสำคัญการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนนั้น ไม่ว่าตอนท่านนายพลมีชีวิตอยู่หรือไม่มี ไม่สำคัญเลย การคืนอำนาจเป็นเรื่องสำคัญกว่าความเป็นความตายของท่าน

แล้วความตายของพ่อแม่ผมล่ะ คุณจะถามอย่างนั้นใช่มั้ย บอกคุณได้เลยว่าในขณะนั้นผมลืมความตายของพวกเขาไปแล้ว แม้กระทั่งของตนเองผมก็ไม่สนด้วย ผมว่าหากต้องสละชีวิตไม่ว่าของตนเองหรือของบุพการี มันก็คุ้มค่านะ ประเทศนี้จะได้พ้นจากสภาพตายซากเสียสักที

แต่ถ้าเลือกได้จริง เราสามคนพ่อแม่ลูกไม่มีใครตายก็ดีมาก

 

ตั้งแต่มื้อค่ำนั้นเป็นต้นมา บิ๊ก EFG ก็จับตามองผมเป็นพิเศษ คำให้สัมภาษณ์ของผมถูกกลั่นกรองจากทีมงานอย่างเคร่งครัด คำพูดของผมที่ออกสื่อไปถูกตัดถูกเฉือนจนน่ารำคาญ เพราะแทบจะฟังไม่รู้เรื่องเลย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ก็สื่อส่วนใหญ่ก้มหัวรับใช้รัฐบาลนี่ มีบ้างส่วนน้อยที่แข็งขืน แต่ก็จะถูกคุกคามเกือบเสียศูนย์ ดังนั้น ผมจำยอมต้องถอยก่อน อดรนทนรอโอกาสที่จะประกาศคืนอำนาจให้แก่ประชาชนผ่านการเลือกตั้งไปอีก

จนกระทั่งสามเดือนถัดมาวันหนึ่งผมถูกเชิญเข้าประชุมที่องค์การสหประชาชาติในหัวข้อหนึ่ง ผมนึกกระหยิ่มยิ้มย่องหนนี้แหละที่ผมจะอาศัยเวทีนี้ ประกาศว่าประเทศ OTPA จะกลับเข้าร่องเข้ารอยของประชาธิปไตยเสียที หลังจากมันถูกดองมาเกือบเจ็ดปีแล้ว และตอนนี้แหละโลกจะให้ความคุ้มครองผมกับครอบครัวจากภัยของบิ๊ก EFG ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพราะไม่มีใครต้องจบชีวิตเพราะงานนี้

คุณอาจมองว่าผมไม่ตกผลึก เดี๋ยวสละชีวิตได้ เดี๋ยวก็รักตัวกลัวตายขึ้นมา มันก็จริง ผมสับสนจริงๆ ตอนนั้นด้วยความลิงโลดหรือลำพองใจ ผมจึงลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท คิดเพียงว่าจะอาศัยช่วงเวลาซึ่งอยู่ที่โน่นคืนอิสรภาพให้แก่ประชาชนทางนี้ และสิ่งที่ผมลืมไปมันก็ปรากฏผลให้เห็น ในวันที่ผมกำลังขึ้นเครื่องบินไปยังองค์การสหประชาชาติ ผมถูกจี้ก่อนเครื่องจะทะยานขึ้นท้องฟ้าไม่กี่นาที ผมถูกทำรัฐประหารโดยนายทหารเด็กในสังกัดของบิ๊ก EFG และแน่นอนว่าคราวนี้บิ๊ก EFG ไม่ไว้ใจผู้ใดอีกแล้ว ท่านขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเสียเอง

อย่างที่กล่าวข้างต้น คุณคงไม่ลืมไปแล้วนะว่าบิ๊ก EFG ท่านเป็นพี่เลิฟของท่านนายพล ดังนั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์นั้นไว้ ท่านจึงไม่โหดเหี้ยมกับผม ซึ่งผู้คนยังคิดว่าผมเป็นท่านนายพล ABCD ท่านเกลี่ยกล่อมให้ผมออกนอกประเทศไปเสีย แล้วผมก็ไปสู่ฝรั่งเศส ทำไมต้องฝรั่งเศส ใช่มั้ยคุณจะถามอย่างนั้นใช่มั้ย เอ้า คุณลืมไปแล้วหรือประเทศ OTPA เราเคยเป็นตกเป็นอาณานิคมของชาติใด ฝรั่งเศสไงเล่า นี่ผมเพิ่งจะกลับจากฝรั่งเศสมาเมื่อปีที่แล้วนี้เองและอยากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ถามว่าตอนนี้มันสำคัญไหม ตอบ เรื่องนี้อาจไม่สำคัญแล้วก็ได้ เพราะมันผ่านมานานมากแล้ว อีกทั้งอย่างที่ผมกล่าวข้างต้น คุณก็คงไม่เชื่อว่าเรื่องทำนองนี้ได้เกิดขึ้นจริง คุณอาจคิดว่าจู่ๆ วันหนึ่งมีคนแก่เพี้ยนๆ คนหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งนิทานหลอกเด็กก็เท่านั้นเอง แต่ถึงยังไงมันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย จริงมั้ย

ส่วนเรื่องบิ๊ก EFG ปกครองประเทศนี้ยาวนานแค่ไหนและแบบไหน แล้วในที่สุดมีจุดจบเป็นอย่างไร คุณหรือว่าใครๆ ก็ทราบดีอยู่แล้วนี่ •