จิตต์สุภา ฉิน : โพสต์ภาพลูก เพื่อลูก หรือเพื่อเรา?

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

เร็วๆ มานี้ ซู่ชิงมีโอกาสได้นัดเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันพร้อมหน้ามานานเกือบสิบปี คนหนึ่งย้ายไปเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกสองคนอยู่ที่นิวซีแลนด์ (ซึ่งขัดกับความเปรี้ยวและเฮ้วในสมัยเรียนเป็นอย่างมาก) ส่วนอีกคนเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่หาดใหญ่

แม้จะอยู่ต่างที่แต่สิ่งหนึ่งที่เพื่อนสองคนนี้มีตรงกันคือมี “สามีฝรั่ง”

บทสนทนาของพวกเราสามคนเวียนแวะไปแตะอดีตทุกเรื่องเท่าที่เราจะนึกออก เม้าธ์เพื่อนเก่าทุกคนเท่าที่เราจะนึกได้

และในที่สุดก็มาถึงหัวข้อของการเป็นแม่ ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนของซู่ชิงได้ลิ้มรสมานานหลายปีแล้ว

 

การมีลูกเป็นลูกครึ่งหน้าตาจิ้มลิ้มฝรั่งปนไทยนั้น สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือความสนใจที่จะได้รับจากคนทั่วไปที่เดินผ่าน

เพื่อนทั้งสองคนแสดงสีหน้าลำบากใจเมื่อเล่าถึงประสบการณ์ของการที่มีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาหยิก มาหอม มาจับเนื้อต้องตัวลูกๆ ของพวกเธอว่า กระอักกระอ่วนเหลือเกิน ไม่รู้จะห้ามยังไง ลูกก็ไม่ชอบเพราะถูกสอนมาโดยตลอดว่าต้องเคารพร่างกายตัวเองและผู้อื่น

เพื่อนที่อยู่นิวซีแลนด์บอกว่าลูกสาวของเธอสับสนมากเวลาที่กลับเมืองไทย และมีคนแปลกหน้าถือวิสาสะมาจับแก้มด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

ในขณะที่สามีฝรั่งของเพื่อนอีกคนมีปฏิกิริยาตอบกลับไวกว่านั้น เธอเล่าให้ฟังว่าทันทีที่มีคนปรี่เข้ามาจับแก้มลูกสาว สามีของเธอก็เอื้อมมือไปจับแก้มผู้หญิงคนนั้นคืนแล้วถามว่า “คุณชอบไหมล่ะว่าเวลามีคนไม่รู้จักมาจับแก้มคุณแบบนี้น่ะ”

ฟังดูอาจจะเป็นการกระทำที่โหดร้ายและไม่จำเป็น เพราะคนที่เข้ามาเขาก็เข้ามาด้วยความรัก ความเอ็นดู ไม่มีเจตนาร้าย อย่างนั้นใช่ไหมคะ แต่อันที่จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่สังคมไทยเราให้ความสำคัญน้อยเกินไป การจะไปสัมผัสร่างกายของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่นั้นไม่ควรกระทำโดยไม่ได้รับคำอนุญาต

ยังไม่นับว่าการเข้าไปหอมไปหยิกแก้มเด็กนั้นอาจนำเชื้อโรคที่อยู่บนมือหรือในน้ำลายของเราไปติดเด็กอีกที ซึ่งนี่ทำให้เด็กไม่สบายล้มป่วยมาแล้วนักต่อนัก

 

จากนั้นหัวข้อของเราก็วนไปถึงเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียของพ่อแม่ ซู่ชิงยกประเด็นของเพจเฟซบุ๊กจำนวนไม่น้อยที่มีพ่อแม่เป็นผู้ดูแลเพจ และในแต่ละวันก็จะถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอลูกตัวเองและอัพโหลดขึ้นไปให้แฟนคลับจำนวนมากได้ติดตาม

และลองสังเกตดูนะคะว่า เด็กๆ เหล่านั้นไม่ได้มาประสีประสารู้เรื่องอะไรกับการที่มีคนติดตามหลักหลายแสนหรอกค่ะ คนที่เพลิดเพลินไปกับชื่อเสียงและยอดไลก์ทั้งหลายนั้นคือพ่อแม่เองทั้งนั้นแหละ

สิ่งที่เพจเหล่านี้อัพขึ้นไปในแต่ละวันบางอย่างซู่ชิงเห็นแล้วก็รู้สึกขนลุก เพราะมันเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย

ไม่ว่าจะเป็นภาพเด็กสาวหน้าตาแสนสวยที่นั่งฉีกแข้งฉีกขา

ภาพเด็กทั้งชายและหญิงในชุดว่ายน้ำ หรือหากเป็นภาพปกติทั่วไปก็มักจะเป็นการแชร์ที่เกินความพอดีไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการคอยเฝ้าถ่ายภาพลูกตลอดทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นนอน กินข้าว แต่งตัว ออกจากบ้าน ไปโรงเรียน กลับมาจากโรงเรียน ฯลฯ

แฟนคลับก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยติดตาม กดไลก์ กดเลิฟ หัวเราะไปกับความน่ารักน่าเอ็นดู

ซู่ชิงไม่แน่ใจว่าพ่อแม่ผู้ดูแลเพจได้ลองสังเกตบ้างหรือเปล่า แต่มีเพจหนึ่งที่ซู่ชิงนั่งไล่ดูคอมเมนต์ใต้ภาพทุกภาพของน้องผู้หญิงหน้าหวานเหมือนตุ๊กตา แล้วพบว่ามีผู้ชายในวัยผู้ใหญ่หน้าซ้ำๆ ที่มาไล่เขียนคอมเมนต์ทุกรูป ทั้งชื่นชมความงามแบบหลงใหลชนิดถอนตัวไม่ขึ้น

และมีทั้งที่เฝ้าไถ่ถามว่าวันนี้น้องจะไปอยู่ที่ไหนเผื่อจะได้ตามไปพบ

 

แค่นั้นว่าน่ากลัวแล้ว ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือเมื่อมีใครเข้าไปทักท้วงถึงความไม่เหมาะสม กลับถูกพ่อแม่หรือบรรดาแฟนคลับไล่เอาหินขว้างปาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์

บ้างก็บอกว่าไม่ชอบก็ไม่ต้องดูสิ อย่ามาขวางคนอื่นเขาจะดู

บ้างก็ใส่ร้ายว่าคนพวกนี้จิตอกุศลเหลือเกิน เห็นภาพเด็กน่ารักแบบนี้กลับคิดเป็นอื่นไปได้

ซึ่งน่าแปลกใจเป็นอย่างมากว่าทำไมถึงไม่เก็บคำพูดเหล่านั้นไปใช้กับเจ้าของคอมเมนต์วิปริตนั้นกันเล่า

พวกเขารู้หรือเปล่าว่าโลกใบนี้มีคนจิตป่วยที่มุ่งทำร้ายกระทำชำเราเด็กเยอะแค่ไหน

คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ไกลอะไรเลย ปะปนอยู่ในหมู่ผู้คนร้อยพ่อพันแม่บนโซเชียลมีเดียนี่แหละ

เพื่อนทั้งสองคนของซู่ชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและเล่าให้ฟังว่าสามีของพวกเธอสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้โพสต์ภาพลูกลงบนโซเชียลมีเดีย

บางครั้งพวกเธอก็อยากจะแชร์โมเมนต์น่ารักๆ ของลูกให้เพื่อนและครอบครัวได้เห็น

แต่สามีก็มองตาเขียวจนต้องรีบลดกล้องลง เหตุผลที่ได้รับก็คือ “ยูไม่สามารถโพสต์ภาพของลูกโดยปราศจากความยินยอมของลูกซึ่งจะต้องโตพอที่จะให้ความยินยอมได้”

หากใครยังนึกไม่ออกว่าแล้วมันเป็นปัญหายังไงกันล่ะ

ลองนึกภาพดูนะคะว่าถ้าหากเป็นเรา มีคนยกกล้องมาถ่ายภาพเราแล้วโพสต์ไปบนเฟซบุ๊กโดยไม่ขออนุญาต เราจะรู้สึกอย่างไร ไม่ชอบแน่ๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ ดีไม่ดีเราอาจจะเดินเข้าไปต่อยด้วย ขนาดเพื่อนแท็กภาพโดยไม่ขอเรายังแอบเคืองเลย

แล้วทำไมเด็กจึงจะไม่ได้รับสิทธิที่จะเลือกได้ว่าพวกเขาอยากให้ภาพของตัวเองอยู่บนโซเชียลมีเดียหรือไม่

 

สาเหตุที่เราไม่ควรโพสต์ภาพเด็กลงบนโซเชียลมีเดียไม่ได้มีแค่เรื่องสิทธิเหนือร่างกายและความยินยอมเท่านั้นนะคะ แต่มันอาจนำไปสู่อันตรายที่เราไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกรังแกกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เน็ต (อย่างเช่นเราโพสต์ภาพลูกน้อยเปลือยกายล่อนจ้อนอาบน้ำ เวลาผ่านไปลูกเราโตขึ้น เพื่อนไปเจอภาพนี้และถูกหยิบมาล้อเลียนเสียๆ หายๆ ซึ่งอย่าลืมนะคะว่าเวลาเด็กเขาแกล้งกันเนี่ย มันมีตั้งแต่เบาไปจนถึงแรงมากเลยล่ะค่ะ)

ภาพของลูกอาจถูกนำไปปลอมแปลงตัวตนทางดิจิตอล ทำโปรไฟล์สวมรอย เอาภาพไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ภาพโป๊เปลือยของเด็กที่มีไว้เพื่อสนองความใคร่ของพวกใคร่เด็ก

(จากการไล่สำรวจเว็บไซต์ประเภทนี้พบว่าภาพจำนวนมากเป็นภาพที่หยิบมาจากเฟซบุ๊กที่พ่อกับแม่เป็นคนแชร์เองนี่แหละ แม้แต่ภาพที่ดูธรรมดาที่สุดอย่างภาพเด็กกำลังวิ่งเล่น เมื่อถูกมองด้วยคนที่จิตไม่ปกติมันก็กลายเป็นสิ่งที่ไปปลุกเร้าอารมณ์มืดได้)

เอาไปใช้ทำมีมหรือภาพล้อเลียนเสียๆ หายๆ (อย่างเช่น การเอาภาพหน้าลูกของเราตอนเบ่งอุจจาระ ทำหน้าตาเหลอหลา กินมูมมาม แล้วไปใส่คำพูดตลกๆ ในบริบทต่างๆ แล้วแต่ใครจะครีเอต ซึ่งภาพพวกนี้จะอยู่บนอินเตอร์เน็ตไปชั่วกัลปาวสานเลยล่ะค่ะ)

เวลาที่เราโพสต์ภาพลูกเราบ่อยๆ ในสถานที่เดิมๆ ซ้ำๆ หรือโพสต์ภาพในบ้าน หน้าบ้าน เป็นการเปิดช่องโหว่ให้ลูกเราถูกตามมาเจอได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ที่ทำเพจเฟซบุ๊กลูกและชอบโพสต์โชว์ภาพลูกพร้อมป่าวประกาศว่าตอนนี้ลูกของตัวเองอยู่ที่ไหน

มันเหมือนการเปิดประตูรอพวกโรคจิต มิจฉาชีพ แล้วกวักมือเชื้อเชิญว่า มาทางนี้สิ!

 

ที่มาภาพ : npr.org

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทางกายแล้ว การถกเถียงกันเรื่องพ่อแม่ใช้โซเชียลมีเดียแชร์เรื่องราวของลูกมากเกินไปจะส่งผลกระทบทางใจอย่างไรต่อลูกในระยะยาวบ้างเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถศึกษาได้อย่างละเอียด เนื่องจากเรายังมีโซเชียลมีเดียกันมาไม่นานพอที่จะเห็นผลกระทบได้อย่างชัดเจน

แต่อย่างน้อยๆ ความเป็นไปได้ของอันตรายที่ได้เล่าไปก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้พ่อแม่เริ่มตระหนักถึงข้อมูลของลูกที่เราเป็นคนนำเข้าสู่อินเตอร์เน็ตด้วยมือของเราเองให้มากขึ้น

บางครอบครัวอาจจะชั่งน้ำหนักแล้วคิดว่าไม่เป็นไร รับความเสี่ยงได้ จะแชร์ต่อไป ก็เป็นสิทธิของแต่ละบ้านเลยค่ะ

ผู้เชี่ยวชาญเขาขอแค่ว่าอย่างน้อยควรใช้ไกด์ไลน์ไม่โพสต์ภาพลูกโป๊เปลือย ภาพน่าอาย ภาพตอนขับถ่าย (หรืออะไรที่สามัญสำนึกบอกว่าน่าจะไม่โอเค) ก็น่าจะพอช่วยได้ในเบื้องต้นแล้ว

เราสามคนแยกย้ายกันด้วยความอิ่มเอมจากการได้สนทนา

แต่ก็มีคำถามหนักอึ้งในใจที่ซู่ชิงยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าโซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนสังคมเราไปอีกในทางไหนบ้าง

และเราพร้อมแค่ไหนที่จะรับผลกระทบจากสิ่งที่เราทำเองกับมือ

ไม่มีใครตอบได้…นอกจากเวลา