คณะทหารหนุ่ม (19) | ยุทธการยึดเมือง แผนรัฐประหารรั่ว

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

ตุลาคม 2520

กันยายน 2520 การโยกย้ายนายทหารประจำปีซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2520

ปรากฏความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ พล.อ.อ.กมล เดชะตุงคะ เกษียณอายุจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนคือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่ยังคงเป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปฯ ซึ่ง พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยังคงเป็นหัวหน้าเช่นเดิม และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ พล.ท.เปรม ติณสูลานนท์ ย้ายจากตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ครองยศพลเอก

หลังความพยายามที่ล้มเหลวเมื่อ 3 มิถุนายน 2520 คณะทหารหนุ่มซึ่งบัดนี้เชื่อมั่นอย่างสูงสุดต่อหน่วยกำลังระดับปฏิบัติการในมือของตนแล้วได้ตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะเดินหน้าโค่นล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ให้จงได้

ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนตุลาคม 2520 สถานภาพของรัฐบาลขวาจัด นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ทรุดต่ำลงตามลำดับ ประชาชนและสื่อมวลชนที่มองไม่เห็นอนาคตของประเทศตามแผนสร้างประชาธิปไตย 12 ปีของรัฐบาลแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะรัฐมนตรีบางคนที่แสดงความก้าวร้าวรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่าง

คณะทหารหนุ่มจึงเริ่มเปิดเกมรุกต่อรัฐบาลด้วยการให้ข้อเสนอแนะผ่านผู้นำกองทัพทั้งสาม และผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ คือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผลักดันให้นายกรัฐมนตรีปรับปรุงคณะรัฐมนตรีในต้นเดือนตุลาคม แต่ได้รับการปฏิเสธ

พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร เล่าไว้ใน “ล้วนเป็นผมลิขิตชีวิตเอง” ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ว่า

“กลุ่มยังเติร์กที่เป็น จปร.7 ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับความผิดพลาดในกรณี 3 มิถุนายน ต่างเคลื่อนไหวและวางแผนปฏิวัติกันต่อด้วยการปรึกษาหารือกับคนไม่กี่คน ผมกับจำลอง ศรีเมือง เดินหน้าในเรื่องนี้ เราต้องหาหัวหน้าผู้ก่อการก่อน มาได้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งท่านมีความสนิทสนมกับ พ.ท.จำลอง ศรีเมือง เพราะเคยอยู่ด้วยกันที่กองบัญชาการทหารสูงสุด”

เมื่อได้หัวหน้าผู้ก่อการและตกลงรับข้อเสนอพร้อมจะนำการปฏิวัติแล้ว แผนการปฏิวัติก็เริ่มขึ้น เป็นการลับระหว่างนายทหารชั้นผู้ใหญ่แห่งคณะปฏิรูปฯ กับคณะทหารหนุ่ม โดยมี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นผู้ประสานงาน

คณะทหารหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของหน่วยปฏิบัติการทั้งสิ้นวางแผนการใช้กำลังและตัดสินใจลงมือในวันที่ 20 ตุลาคม 2520 โดยตกลงกันเป็นการภายในระหว่างคณะทหารหนุ่มว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

แต่นายทหารระดับสูงในคณะปฏิรูปฯ ซึ่งยังคงมีอำนาจในทางนิตินัย กลับเห็นแก่ความมีอาวุโสของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ จึงมีมติให้ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ โดยมิได้เปิดเผยให้คณะนายทหารหนุ่มทราบแต่อย่างใด

การตกลงใจกำหนดตัวหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ไม่ใช่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นี้ไม่ปรากฏอยู่ในคำบอกเล่าของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร

ความสับสนของคณะทหารหนุ่มเรื่องตัวหัวหน้าคณะปฏิวัติจึงเกิดขึ้นในเย็น 20 ตุลาคม 2520 เมื่อนำกำลังเข้ายึดอำนาจ

 

ลงมือ

การวางแผนรายละเอียดในการใช้กำลังปฏิวัติ เป็นหน้าที่ของคณะนายทหารหนุ่มซึ่งขณะนั้นคุมกำลังอยู่ถึง 18 กองพัน โดยมิได้ล่วงรู้แผนของนายทหารระดับสูงในคณะปฏิรูปฯ ที่กำหนดให้ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็น “หัวหน้าคณะปฏิวัติ”

ความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างนายทหารชั้นผู้ใหญ่แห่งคณะปฏิรูปฯ ที่แทบไม่มีกำลังเป็นของตนเอง กับคณะทหารหนุ่มผู้คุมกำลังที่แท้จริง

ในการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าคณะปฏิวัติจะนำไปสู่การ “หักเหลี่ยมเฉือนคม” อย่างตื่นเต้นเร้าใจเมื่อลงมือยึดอำนาจใน 20 ตุลาคม 2520

 

ยุทธการยึดเมือง

เมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ ตกลงยอมรับเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติให้กับคณะทหารหนุ่มแล้ว พล.ต.มนูญกฤตเล่าต่อว่า

“พวกเรามีการตกลงกันจะเอาวันที่ 20 ตุลาคม 2500 เวลา 20.00 น.ตรงเป็นวันและเวลาที่จะยึดตามจุดที่วางกำลังไว้ โดยผมจัดให้ พ.ท.พัลลภ ปิ่นมณี เอากำลังทหารของเขา 30 นายเข้ามาอยู่ที่ ม.พัน 4 รอ. แล้วผมก็จะเตรียมรถถังของผมให้พร้อม ส่วน พ.ท.จำลอง ศรีเมือง จะไปอยู่กับ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่สนามเสือป่า”

“แม้แผนการทุกอย่างกำหนดไว้แล้วและการปฏิบัติก็เริ่มไปแล้วในบางส่วน แต่ความไม่แน่นอนย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ”

“ตอนนั้นดูเหมือนจะ 17.00 น. ของวันที่ 20 ตุลาคม ผมได้รับโทรศัพท์จาก พ.ท.พัลลภ ปิ่นมณี บอกว่า พ.ท.จำลอง ศรีเมือง แจ้งมาบอกว่า แผนของเรารั่วเสียแล้ว พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ชิงทำตัดหน้าพวกเราเสียก่อน ไม่รู้ว่าท่านรู้มาได้อย่างไร”

“ผมตอนนั้นอยู่ที่ พล.1 รอ. ไปประกบ ผบ.พล.1 รอ. อยู่บ้าน พ.ท.พัลลภ ปิ่นมณี ยังบอกผมต่ออีกว่า พ.ท.จำลอง ศรีเมือง รายงานมาว่า ขณะนั้นมี พลเรือตรีนายหนึ่งกับทหารอีกจำนวนหนึ่งกำลังเดินทางไปยังกรมประชาสัมพันธ์และเตรียมอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติที่มี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติในตอน 18.00 น.วันนี้”

“พอผมได้ฟังดังนั้น จึงตัดสินใจให้พัลลภเอากำลังไปที่กรมประชาสัมพันธ์ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่สนามหลวง แล้วให้ไปจี้พลเรือตรีคนนั้นให้อ่านแถลงการณ์ออกไปให้จบ แต่ตอนจบให้ลงชื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติแทน”

“เราคิดแผนซ้อนแผนขึ้นมาทันที ผมรู้สึกว่ามันท้าทายดี พ.ท.พัลลภก็เอากำลังไปตามที่ผมบอก แต่ไปถึงได้แค่บางลำพูเพราะรถติดมากในย่านนั้นและเวลาช่วงนั้นด้วย ทางโน้นก็ประกาศผ่านวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ถึงการยึดอำนาจลั่นบ้านเมืองไปแล้ว พ.ท.พัลลภ ปิ่นมณี ติดต่อกลับมาถึงผมอีกครั้งว่า จะแก้สถานการณ์อย่างไร”

“ผมเลยบอกให้เขาเปลี่ยนไปยึดสนามเสือป่าเลย เป็นการสวมรอยเข้ายึดว่างั้นเถอะ”

 

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งร่วมในวงสนทนากับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เล่าเหตุการณ์นำกำลังเข้าไปที่สนามเสือป่าเย็นวันนั้น

“พอรถของพวกเราทั้ง 2 คันแล่นเข้ามาถึงประตูทางเข้าสนามเสือป่าเป็นเวลา 18:00 น.กว่าๆ แล้วฝ่ายโน้นเขาก็มีนาวิกโยธินเป็นกองพันเลย เรียกว่าเต็มไปหมดที่สนามด้านหน้า แต่น่าแปลกพอรถของพวกเราเข้าไปถึง พวกนาวิกโยธินกลับเปิดประตูให้พวกเราเข้าไป แถมยังทำความเคารพเสียอีก มันน่าขำดี คงคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน”

“ผมรายงานกลับไปที่มนูญ เขาบอกว่าถ้างั้นให้พยายามเข้าถึงข้างในให้จับตัวนายทหารผู้ใหญ่เอาไว้และบอกว่าข้างในมี พ.ท.จำลอง ศรีเมือง คอยประสานงานอยู่”

“ผมนำกำลังเข้าไปในตัวอาคารพบ พ.ท.จำลอง และทราบว่าตอนนั้นคณะปฏิรูปฯ กำลังประชุมกันอยู่บนชั้น 2 ของอาคาร บก.สส. มีอยู่ 24 คน เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งนั้น มีตั้งแต่ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ พล.อ.เสริม ณ นคร พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แล้วมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ที่สำคัญคือ สารวัตรทหารเต็มไปหมดและถือปืนครบมือเสียด้วย ผมตัดสินใจเดินเข้าไป พวกสารวัตรทำความเคารพ ผมถือจังหวะนั้นเอาปืนจี้สารวัตรทหารพวกนั้น ปลดอาวุธทั้งหมด 20 กว่าคน แล้วเข้าห้องประชุม ล็อกห้องประชุมไว้ไม่ให้ใครเข้าออก”

“ตอนนั้น พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ท่านไม่ยอมท่าเดียว ท่านยืนขวางประตูเอาไว้แล้วก็ด่าผมกับจำลองว่าเป็นทหารอย่างไร ไม่มีระเบียบวินัย ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านว่าของท่านไปเรื่อย ผมกับจำลองก็เถียงกับท่านเอาเป็นเอาตาย ผมก็ถือปืนจ้องไว้ไม่ยอมให้ท่านออกจากห้อง”

“เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานมาก กำลังนาวิกโยธินข้างล่างก็เริ่มรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบนตึก พวกเขาเริ่มเอากำลังโอบล้อมเข้ามา”