เหตุไฟไหม้ที่ ‘อุรุมชี’ สู่การยกเลิก ‘โควิดเป็นศูนย์’ ในจีน

(Photo by Jade GAO / AFP)

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางการจีนได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ทั่วประเทศ หลังจากพยายามฝืนที่จะนำประเทศไปสู่เป้าหมาย “โควิดเป็นศูนย์” ให้ได้มานาน จนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน รวมทั้งภาคธุรกิจต่างๆ ที่ต้องตกอยู่ภายใต้มาตรการเข้มงวดของทางการจีน

จนทำให้เกิดการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลจีนเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี

เนื่องจากมาตรการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนจำนวนมาก และยังนำไปสู่การสูญเสียชีวิตผู้คนจากเหตุไฟไหม้อพาร์ตเมนต์ที่เมืองอูรุมชีด้วย

และกลายเป็นที่มาของการที่ทางการจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดต่างๆ

เครดิตภาพ AP

หนึ่งในสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สุด สำหรับการผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้คือมาตรการที่อนุญาตให้ผู้ที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 แต่มีอาการไม่มาก หรือไม่มีอาการเลย สามารถรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ จากเดิมที่จะต้องถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาในสถานรักษาพยาบาลของรัฐบาลเท่านั้น

ซึ่งสถานที่รักษาเหล่านั้นก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่ามีความหนาแน่นของผู้ป่วยจำนวนมาก และยังต้องเปิดไฟไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ค่อยมีอาหารให้กิน และที่อยู่ก็ไม่มีความสะอาด

ตามมาตรการใหม่ หากพื้นที่ใดพบผู้ป่วย จะมีการล็อกดาวน์เหมือนเดิม แต่จะจำกัดพื้นที่ให้แคบลง

อย่างเช่น ถ้าเป็นอพาร์ตเมนต์ ก็จะล็อกดาวเป็นชั้น หรือแค่ตึกๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะล็อกดาวน์เป็นวงกว้างมากกว่า

ในส่วนของเรื่องแอพพลิเคชั่นที่ใช้ติดตามการเดินทางของประชาชนที่เข้าไปในพื้นที่ที่มีการพบการระบาดของโควิด-19 สูง หรือระบบโค้ดสุขภาพ ก็ได้มีการประกาศยกเลิกแล้ว หากแต่จะยังต้องใช้ในบางพื้นที่ที่สำคัญ อย่างเช่น โรงเรียน โรงพยาบาล สถานรักษาพยาบาลต่างๆ

แต่หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้ คือ ศูนย์บริการตรวจพีซีอาร์ แบบไม่เสียเงินและให้ผลได้ในทันที จะหายากมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น หากใครต้องการจะเข้าไปใช้บริการร้านอาหารยามค่ำคืนที่ยังคงต้องการผลตรวจล่าสุดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก็อาจจะหาที่ตรวจยากเสียหน่อย

(Photo by HECTOR RETAMAL / AFP)

มาตรการผ่อนคลายอื่นๆ เช่น ระยะเวลาในการล็อกดาวน์ ที่จะต้องกินระยะเวลา 5 วัน หากไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ก็จะเปิดพื้นที่ได้ตามปกติ จากเดิมที่จะต้องล็อกดาวน์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ล็อกดาวน์ที่จะไม่ได้รับทราบข่าวสารหรือความคืบหน้าใดๆ เลย

นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องของการจำกัดการขายยาแก้ไข้และยาแก้ไอ ที่ถูกยกเลิกไปเช่นกัน

หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความเข้มงวดในการขายยาเหล่านี้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก

และทางการกำหนดให้ผู้ที่จะซื้อยาแก้ไข้และยาแก้ไอได้ก็ต่อเมื่อยื่นเรื่องร้องขอตามกระบวนการ ซึ่งไม่เคยมีการชี้แจงอย่างแน่ชัดถึงที่มาของมาตรการนี้

แต่คาดว่าอาจจะมีขึ้นสำหรับผู้ที่พยายามจะปกปิดว่าตัวเองติดโควิด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจและส่งไปกักตัว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากมาตรการที่ถูกยกเลิก แต่มีบางอย่างที่เข้มข้นขึ้น อย่างเช่น เรื่องการเน้นยำให้ผู้สูงอายุฉีดวัคซีน และฉีดวัคซีนบูสเตอร์ รวมไปถึงกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคร้าย กลุ่มเปราะบางอื่นๆ ที่อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการติดโควิดและเสียชีวิตกว่าคนทั่วไป

ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถสั่งระงับการทำธุรกิจหรือขนส่งสาธารณะในพื้นที่ที่ไม่ได้มีความเสี่ยง และห้ามปิดกั้นทางออกหนีไฟ หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้อพาร์ตเมนต์ที่เมืองอูรุมชี มณฑลซินเจียง เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย สาเหตุหลักเกิดจากการล็อกดาวน์ และมีการปิดอาคารเอาไว้บางส่วน ทำให้ผู้คนหลบหนีออกมาไม่ได้ กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการหนีและการช่วยเหลือผู้คน

และนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ในจีนที่ผู้คนออกมาต่อต้านการล็อกดาวน์

(Photo by Jade GAO / AFP)

อย่างไรก็ตาม มาตรการใหม่นี้ไม่ได้รวมถึงการเดินทางระหว่างประเทศ ชายแดนของจีนยังคงปิดเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าหลายประเทศทั่วโลกเริ่มเปิดกว้างให้มีการเดินทางเข้าออกกันแล้ว

ทั้งนี้ มาตรการโควิดเป็นศูนย์ เป็นนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ต้องการให้ประเทศจีน ปลอดซึ่งโควิด-19 แบบเต็มร้อย จึงต้องเข้มงวดกับทุกครั้งที่พบว่ามีผู้ติดเชื้อ เพราะเชื่อว่าจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ โดยเฉพาะบรรดากลุ่มเสี่ยงทั้งหลาย

หากแต่การใช้มาตรการเข้มงวดที่ยาวนาน จนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คน รวมถึงบรรดาภาคธุรกิจ กระทั่งมาเกิดเหตุไฟไหม้จนผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก

นโยบายโควิดเป็นศูนย์ จึงต้องล้มไปโดยปริยาย รอดูผลต่อจากนี้ว่า จีนจะเป็นอย่างไรต่อไป หลังผ่อนปรนนโยบายแล้ว