การเมืองล้าหลัง ระบบยุติธรรมไม่ก้าวหน้า | เหยี่ยวถลาลม

ง่ายมากกับการลงมือด่า วิพากษ์ ถากถาง สับ ชำแหละนักการเมือง แต่ทำไมล่ะ ทำไมจึงสงบปากสงบคำ ไม่ค่อยจะชำแหละ สับ หรือวิพากษ์วิจารณ์พฤติการณ์ของ “ทหารการเมือง”

กว่าครึ่งศตวรรษที่ล่วงผ่านมานั้นเป็นเวลาไม่ใช่น้อย กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งทีเดียว

ทำไมระบบการเมืองของไทยยังย่ำอยู่กับที่!?

กว่า 50 ปีก่อนเคยเป็นอย่างไรจนถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่าง

“ระบบทหาร” ครอบงำการเมือง

ทหารรุกล้ำพรมแดนของหน้าที่

จาก “ป้องกันประเทศ” สู่ “บริหารประเทศ” ซึ่งไม่ใช่ “หน้าที่” แต่ก็ยังคงประพฤติอยู่เช่นเดิม

เมื่อกว่า 50 ปีก่อน ทหารจัดตั้งพรรคการเมือง

ทุกวันนี้ เมื่อทำรัฐประหารเสร็จสิ้น แต่เพื่อที่จะอวดอ้างความชอบธรรมในการรักษาอำนาจต่อไปให้ยาวนานที่สุด ทหารก็ยังคงตั้งพรรคการเมืองพร้อมกับดูดเอานักการเมืองพลเรือนจำนวนหนึ่งเข้าไปเป็นนั่งร้านและยึดรัฐสภาด้วยการแต่งตั้งวุฒิสมาชิกเอาไว้เพื่อให้ยกมือเลือกอดีตผู้นำรัฐประหารเป็น “นายกรัฐมนตรี”

“ทหารการเมือง” จึงมีอิทธิพลครอบงำทุกกลไก สยบยอมไม่เว้นแม้แต่ที่อวดอ้างตัวว่า “อิสระ”

“กฎ” ถูก “ยกเว้น” ระบบยุติธรรมถูกทำลาย!

ครั้งล่าสุด 22 พฤษภาคม 2557

(Photo by HO / BANGKOK METROPOLITAN ADMINISTRAT / AFP)

กว่า 50 ปีล่วงผ่านมาทหารก็ยังคงสามารถก่อรัฐประหารได้สำเร็จ

คนที่ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ แบ่งแยกหรือยึดอำนาจการปกครอง-ไม่ถูกดำเนินคดี

โทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตเป็นเพียงจำอวด!

“ทหารการเมือง” ได้สร้างประสบการณ์สั่งสมให้ผู้คนเชื่อว่า บทบัญญัติของกฎหมายไม่มีความแน่นอน ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย ไม่ต้องยำเกรง เป็นสิ่งที่ละเมิดและบิดพลิ้วได้ตามสถานการณ์

ที่มั่นคง แน่นอน และศักดิ์สิทธิ์ คือปืน!

“ปืน” เป็นพี่ใหญ่ “เงิน” เป็นพี่รอง กลายเป็นประเพณีการปกครอง

ไม่ส่งเสริมให้เคารพ “เหตุผล” ไม่นิยมคนที่เปิดกว้างยอมรับความแตกต่าง

ระบอบประชาธิปไตยถูกป้ายสีว่าอ่อนแอ ล้มเหลว พรรคการเมืองและนักการเมืองพลเรือนถูกให้ร้ายว่าไร้อุดมการณ์ เห็นแก่ได้ หาประโยชน์

“เสียงสวรรค์” เป็นปรปักษ์ เป็นปีศาจ!

(Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)

พรรคการเมืองไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการจัดตั้งที่เข้มแข็งและมีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับองค์กรจัดตั้งที่มีปืนและกำลังรบ นั่นสามารถใช้งบประมาณของรัฐได้อย่างมั่นคง แน่นอน เกื้อกูลสนับสนุนกันไม่เว้นแม้กระทั่ง เบี้ยเลี้ยง สินน้ำใจที่ใช้ในการก่อรัฐประหารแต่ละครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นเงินจากภาษีอากรของประชาชน

การเมืองไทยไม่ได้เข้าที่เข้าทางกับระบอบรัฐสภาซึ่ง “อำนาจอธิปไตย” เป็นของปวงชนชาวไทย

3 อำนาจแบ่งแยกและถ่วงดุลกัน

“นิติบัญญัติ” มีอำนาจหน้าที่บัญญัติกฎหมาย

“รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” ของประชาชน มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน

“ตุลาการ” ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี

ปฏิบัติเป็นปกติจึงจะเรียกว่า “นิติรัฐ” ที่ปกครองด้วยกฎหมาย

กล่าวสำหรับการเมืองไทยนั้นเข้าที่เข้าทางกับ “ระบบการปกครองของทหาร”

ทุกกลไกเกื้อกูลให้การปกครองของทหารดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน

เป็นที่ประจักษ์ว่า ในห้วงยามที่ต้องเว้นวรรคจากการรัฐประหาร พรรคการเมืองกับนักการเมืองจะได้รับโอกาสให้โลดแล่นอยู่บนกระดานแห่งอำนาจชั่วครู่ชั่วยาม

ที่ “ไม่สวามิภักดิ์” หรือทำตัวเป็น “ปรปักษ์” จะถูกบดทำลาย พรรคการเมืองถูกยุบกันได้ง่ายๆ ส่วนที่เหลือให้เห็นเชิดหน้าชูคออยู่นั้นมีแต่ไม้ประดับ จะค่อยๆ หดเล็ก ลีบเรียวลงๆ

 (Photo by Manan VATSYAYANA / AFP)

สมมุติเล่นๆ ว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเกิดปรากฏการณ์ “แลนด์สไลด์” พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามทหารการเมืองชนะท่วมท้นล้นประเทศ

มีอะไรรับประกันว่าจะไม่มีการ “ล้มกระดาน”!

องค์กรอิสระกับระบบยุติธรรมจะวางตัวอย่างไร!?!

“ระบบการเมือง” กับ “ระบบยุติธรรม” ย่อมมีความสัมพันธ์ยึดโยงกัน

ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มั่นคงนี้ “ทหารการเมือง” สามารถก่อรัฐประหารเฉลี่ย 6-7 ปีต่อ 1 ครั้ง คือ ภาพสะท้อนให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายล้มเหลวสิ้นท่า

การใช้ “ความรุนแรง” หรือใช้กำลังอาวุธล้มล้างการปกครองไม่เคยถูกดำเนินคดีอาญา

แต่ในทางตรงกันข้าม

แนวทาง “สันติวิธี” หรือการใช้เสียงในสภาเพื่อที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับถูกตัดสินชี้ขาดว่า “ล้มล้างการปกครอง” กลายเป็นตัวอันตราย เป็นบุคคลต้องห้ามทางการเมือง

คนเท่ากันตามกฎหมายเป็นแค่คำอวดอ้าง

โทษสำหรับ “คนมีปืนและใช้ปืน” แย่งยึดอำนาจบริหารประเทศเป็นความพิสดารของกฎหมาย

 

การเมืองไทยไม่ได้ส่งเสริมความเท่าเทียม ไม่ได้สนับสนุนอย่างจริงจังให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ส่งเสริมความมีเหตุมีผล ไม่นิยมการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เช่นนี้จึงมักจะเห็นชนชั้นจำนวนหนึ่งรณรงค์โฆษณาปลุกระดมมวลชนส่งเสริมให้ผู้คนทำลายความเป็นนิติรัฐ ใช้ความรุนแรง สนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางการเมืองด้วยวิถีทางป่าเถื่อน

จึงเป็นธรรมเนียม ไม่ค่อยจะมีการตั้งวงวิพากษ์วิจารณ์ สับ ชำแหละ “ทหารการเมือง” ที่ก่อรัฐประหารกันอย่างจริงจัง กว้างขวาง และต่อเนื่อง

ไม่มีการสอนในโรงเรียนให้รู้ผิดชอบชั่วดีทางการเมือง ไม่มีเสียงคัดค้านรัฐประหารจากมหาวิทยาลัย

พอมีลูกหลาน นักเรียน นิสิตนักศึกษา ซึ่งเป็นอนาคต เป็นความหวังของประเทศ สงสัย ตื่นรู้ ลุกขึ้นมาถกเถียงหรือทวงถาม ทุก “กลไก” ภายใต้ “อำนาจรัฐ” ที่ปกครองโดยทหารการเมืองก็ร่วมสมคบคิดกันกำราบปราบปราม

ทหารการเมืองบริหารบ้านเมืองไม่เป็น คิดไม่ออก บอกไม่ได้ ว่าจะนำพาประเทศไปทางไหนนโยบายที่ดีคืออะไร วันๆ ได้แค่กังวลว่า สื่อเสนอข่าวอะไรกัน เบาๆ กันหน่อย ลดความขัดแย้งกันเสียบ้าง

ไม่มีพื้นที่ว่างให้ความเห็นต่าง!

ถึงแม้จะสืบทอดอำนาจมานาน แต่ก็ไม่มีความเข้าใจและเข้าไม่ถึง “ระบบความคิดประชาธิปไตย”

จนถึงวันนี้ การเมืองไทยยังคงล้าหลัง จมปลักดักดานอยู่ในโลกคร่ำครึใบเก่า กว่าครึ่งศตวรรษก่อนหน้า รัฐเคยมีแบบแผนการประพฤติกันมาอย่างไร ในวันนี้ก็ยังคงมี “ยุทธศาสตร์” ดำรงคงของเก่าเอาไว้เช่นนั้น

ทุกกลไกทุกระบบในสังคมจะต้องเป็น “เบี้ยล่าง” เน้นการรับฟังและปฏิบัติตาม ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

บริบทแบบนี้ คิดหรือว่า “แลนด์สไลด์” แล้วจะรอด!?!!!