ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกทรรศน์ |
ผู้เขียน | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ |
เผยแพร่ |
โลกทรรศน์ | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์
โลกาภิวัตน์ตายแล้วหรือ?
ท่ามกลางยุคสมัยของความไม่แน่นอน (Era of Uncertainty) ความสลับซับซ้อน ความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั่วโลกเวลานี้ มีการสรุปสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกว่าเกิดจากการรุมเร้าด้วยสงครามห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) แตกสลาย และเสียหายจากโรคระบาดโควิด-19 และยิ่งแย่ลงไปอีกจากเงินเฟ้อขึ้นอย่างรวดเร็ว
มีข้อเสนอถึงโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนโลกมาอย่างยาวนาน
ผมขอนำข้อมูลบางส่วนจากการประชุมประจำปี 2022 ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจัดประชุมโดย Standard Charter ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกามานำเสนอดังนี้
ข้อถกเถียงหนึ่ง
ท่ามกลางคนจำนวนมาก พวกเขาเสนอว่า เราเห็นโลกาภิวัตน์ถดถอยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่วาทกรรม ละเลิกโลกาภิวัตน์ (De-Globalization) ได้เปลี่ยนเรื่องเล่าในสื่อโลก เหมือนโลกกำลังเดินโซเซจากวิกฤตหนึ่งไปสู่อีกวิกฤตต่อไป อวสานของโลกาภิวัตน์มาถึงแล้ว
กล่าวอย่างย่อ อวสานมาจากการรุมเร้าด้วยสงครามห่วงโซ่อุปทานแตกสลายวางหัวกลับ และเสียหายจากโควิด-19 แถมยังมีคนบอกว่า การพัฒนาก็ไม่เท่าเทียม คุณสมบัติทางวัฒนธรรมที่เหมือนกัน (Cultural Homogenisation) การพังทลายของสภาพแวดล้อม การขูดรีดแรงงานต่างประเทศมีมากขึ้น
ในขณะที่ขบวนการชาตินิยมต่างๆ แสดงความไม่พอใจต่อโลกาภิวัตน์มีเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ระบบพหุพาคี (Multilateralism) มีอำนาจเหนือกว่ารัฐ แล้วค่าเงินดอลลาร์แข็งยังเน้นถึงภัยร้ายของบูรณาการทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลแย้งจากการประชุมประจำปี 2022 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) และธนาคารโลก (World Bank) ที่ประชุมรายงานว่า โลกาภิวัตน์ยังมีฐานะเป็นผู้นำ พร้อมด้วยเหตุผลที่ว่า การไหลเวียนของทุน (Flow of Capital) ในระดับโลก โลกาภิวัตน์ทำกำไรดีกว่าการผลิตในราคาต่ำ เทคโนโลยีก้าวหน้าและนวัตกรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศมีการปรับปรุงมากขึ้น โลกาภิวัตน์ทำให้หลายชีวิตดีขึ้นในช่วงการเติบโตอย่างรวดเร็วจากปี 1988-2013 ความยากจนโลกอัตราต่อหัวลดลงจาก 35% เหลือ 10.7%
โลกาภิวัตน์ถูกโจมตีว่าเป็นต้นเหตุการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็มีการแก้ปัญหาโรคระบาดทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยเปรียบเทียบกับการพัฒนาและการใช้วัคซีน
ประเด็นสำคัญในการอธิบายโลกาภิวัตน์สำหรับผมน่าจะอยู่ที่โลกาภิวัตน์ไม่สามารถอธิบายได้อย่างง่ายๆ อธิบายอย่างตายตัว แข็งทื่อเกินไป ที่สำคัญ เราควรผลักดันให้โลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการพัฒนาที่มีความยุติธรรมมากกว่าเดิม มีความเท่าเทียม และยั่งยืน
เรามาลองดูว่า อะไรเป็นพลังขับเคลื่อนโลกาภิวัตน์ และเรามีแง่คิดอะไรต่อโลกาภิวัตน์ได้บ้าง
การไหลเวียนของการค้า
ข้อมูลข่าวสารและทุน
ผมคิดว่า ประเด็นหลักคือ สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือ การประกอบสร้างความสัมพันธ์ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คือการผ่อนคลาย ปล่อยและเห็นประโยชน์อย่างมากของการค้า ข้อมูลข่าวสารและการไหลเวียนของทุน
ซึ่งผมพอสรุปได้ว่า ในที่ประชุมแห่งนั้นมีอยู่ 3 ปัจจัยหลักที่หนุนเนื่องโลกาภิวัตน์
การค้าโลก การค้าระหว่างประเทศ คือกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จของหลายๆ อารยธรรม ดูได้จากศตวรรษที่แล้ว ความสามารถในการผลิต การถ่ายโอนเทคโนโลยีและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ที่สามารถผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดที่ไหนก็ได้ในโลก นับเป็นการข้ามทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
ตัวเลขการค้าโลกอยู่ที่ 28.5 หมื่นล้านดอลลาร์ปี 2021 เพิ่มขึ้น 13 % โดยเปรียบเทียบก่อนเกิดโควิดปี 2019
ในขณะที่องค์การการค้าโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และ OECD คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ทำให้การเติบโตของการค้าลดความเร็วลง
แต่การค้าระหว่างเขตเศรษฐกิจ APAC เป็นแบบอย่างของการเติบโต
องค์การการค้าโลกระบุว่า ข้อตกลงการค้าภูมิภาค (Regional Trade Agreement-RTA) กำลังเกิดขึ้น รวมทั้ง RTA อันใหม่ด้วย
ข้อมูล (ดูกราฟิก) แสดงให้เห็นวิวัฒนการของความตกลงทางด้านการค้าที่เกิดขึ้นและเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ การบริโภคแสดงบทบาทสำคัญในปี 2020 ข้อมูล 9.3 พันล้านคำสั่งของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน (Cross Border E Commerce) ราวๆ 60% เป็นคำสั่งซื้อระหว่างทวีป (Inter continental) อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเท่าที่มีการประมาณการต่ำๆ จะมีมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ปี 2030 จากมูลค่าราว 300 ล้านดอลลาร์ในปี 2020
ความเชื่อมโยงดิจิทัลที่เติบโต เป็นแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยคนจำนวน 782 ล้านคนเข้าสู่ออนไลน์ในโลก ในครั้งแรกของปีที่เกิดโควิด-19 ดิจิทัลไลเซชั่นที่ต่อเนื่อง เปลี่ยนสังคม เศรษฐกิจ และวิธีการที่คนมีปฏิสัมพันธ์กัน ด้วยปฏิสัมพันธ์ดิจิทัลกลายเป็นศูนย์กลางของวิถีชีวิตของพวกเรามากขึ้น
ข้อมูล ข่าวสาร
โลกาภิวัตน์ของวัฒนธรรม (Cultural Globalization) ของข้อมูลข่าวสารและของความคิดทางการเมืองกำลังเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
และเกิดขึ้นในหนทางแตกต่างกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การไหลเวียนของทุน
ทุนไหลเวียนข้ามพรมแดนต่อเนื่องด้วยปี 2020 การลงทุนต่างประเทศโดยตรงไหลเวียนถึง 1.58 หมื่นล้านดอลลาร์
ซึ่งผลักดันโดยการควบรวม (merger) และการได้รับมา (acquisition) รวมทั้งการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงการการเงินระหว่างประเทศ
แรงขับเคลื่อนนี้ ในที่ประชุมยังเห็นว่า แนวโน้มในระยะยาว การใช้เงินข้ามพรมแดนยังไม่เสียหาย และจะมองเห็นได้ในอนาคต
โลกาภิวัตน์ยังอยู่
เมื่อมาถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่าในที่ประชุมแห่งนั้น โลกาภิวัตน์ยังอยู่ ที่ประชุมเสนอว่า พวกเราจึงต้องแสดงเครื่องหมายการวัดโลกาภิวัตน์อีกครั้ง ให้เกิดความแน่นอนว่า มีการเติบโตที่เท่าเทียมและยั่งยืนในศตวรรษที่ 21
ทั้งนี้ มีการเสนอว่า การค้าโลกเปลี่ยนโดยรากฐานจากการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ตอนนี้รวมไปถึงข้อมูล ความคิดและทุน ได้อำนวยให้เกิดแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ (new digital platform) และเทคโนโลยีเกิดใหม่ การบูรณาการตลาดพัฒนาธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (Small and Medium Enterprise-SME) เข้าสู่การค้าโลกเป็นจริง SME จำนวนราว 90% เป็นธุรกิจและการจ้างงานมากกว่าครึ่งทั่วโลก พวกเขาให้ 40% ของ GDP ในเศรษฐกิจใหม่ โลกาภิวัตน์ต้องให้โอกาส SME มีโอกาสเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลก
เทคโนโลยีสามารถเข้าร่วมกับการค้าโลก ผลประโยชน์ตอบแทนข้ามการผลิต ความคล่องแคล่ว (agility) เห็นได้และฟื้นตัว โรคอุบัติใหม่ท้าทาย SME ที่ต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้น แต่มีเพียง SME ทั่วโลกไม่มากที่อุทิศทรัพยากรให้เครื่องมือดิจิทัลใหม่ ด้วยเงินทุนไม่พอและความชำนาญเป็นอุปสรรค
ความยั่งยืนต้องอยู่ด้วยส่วนหน้าคือ จิตใจ เป็นแรงขับเคลื่อนโลก มุ่งสู่เป้าหมายในช่วงกลางศตวรรษ หมายความว่า มีความเกี่ยวข้องกับทุกอย่างนับตั้งแต่ฝุ่นจากการขนส่ง การทำลายป่าเพื่อผลิตสินค้า ห่วงโซ่อุปทานเชื่อมกับการทำลายสภาพแวดล้อม ความสำเร็จที่เลี่ยงไม่ได้จากมาตรฐานธรรมาภิบาลระดับโลก ความร่วมมือเพื่อกำกับดูแลเพื่อความยั่งยืน
กล่าวโดยสรุป ที่ประชุมแห่งนั้นเสนอว่า
ยุติธรรมมากกว่าเดิม (Fairer) มีส่วนร่วมมากกว่าเดิม (more inclusive) และยั่งยืนมากกว่าเดิม (more sustainable)
ย้อนพินิจ
ผมจึงอยากเสนอว่า เราควรมองและเข้าใจเศรษฐกิจไทยให้ถ่องแท้มากกว่าที่เป็นอยู่
น่าเป็นห่วงเศรษฐกิจไทย และน่าเป็นห่วงคนไทยยิ่งกว่า เมื่อบางคนพูดว่า เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ดีกว่าเดิม ดูจากมีคนซื้อข้าวโพดคั่วมากขึ้น ซื้อรถยนต์มากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ผู้นำเราก็เสนอหนังสือที่ควรอ่านให้เราอ่าน
เดิมเคยเสนอให้เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับสี จิ้นผิง ผู้นำจีน
ตอนนี้เสนอให้พวกเราอ่านทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 แล้วบอกว่า พวกเราจะร่ำรวย
ตอนนี้ย้อนกลับมาคิด เราควรใช้ไชน่าโมเดล ที่เป็นระบอบอำนาจนิยม โดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือครับ เช่นกัน ท่านพลเอกแห่งกองทัพไทย เสนอระบบทุนนิยม
แปลกใจจริงๆ ครับ น่าห่วงคนไทย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022