“หวยแพง” โจทย์หินตามหลอนรัฐบาล สลากดิจิทัลไม่ช่วย… สลากใบยังเกิน 80 บาท

2565 นับเป็นอีกปีที่มีเหตุการณ์สำคัญมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ สลากดิจิทัล กลายเป็นก้าวสำคัญของการเดินหน้าแก้ไขปัญหาราคาสลากแพง

สลากดิจิทัล ไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคสมัยที่โลกรายล้อมด้วยเทคโนโลยี เนื่องการล็อตเตอรี่ในหลายประเทศก็ใช้ระบบออนไลน์ อีกทั้งการพนัน ไม่ว่าจะหวยใต้ดิน การแทงล็อตโต้ หรือหนักอย่างกาสิโน ต่างก็พัฒนาเข้าสู่ระบบออนไลน์ที่ไร้ขีดจำกัด โดยไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวกฎหมาย และยังมีข่าวตามไล่จับ ปิดเว็บให้เห็นกันตลอด

ด้านสลากกินแบ่งรัฐบาลเอง ก็มีผู้คนมากมาย นำมาขายบนออนไลน์พักใหญ่ และเริ่มเป็นที่นิยม เมื่อช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ ทำให้สลากใบไม่สามารถขายได้

ผู้ค้าจำนวนมากแก้ไขด้วยการขายเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือนำสลากโควต้าไปขายต่อให้แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเกิดส่วนแบ่งในตลาดผู้ค้าเพิ่ม ยิ่งทำให้ราคาสลากแพงขึ้นต่อเนื่อง แม้จะปราบปรามและตัดสิทธิผู้ค้าที่นำไปขายส่งยกเล่มไปกว่า 1 หมื่นคนแล้วก็ตาม

ส่วนสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้เริ่มเปิดระบบขายสลากดิจิทัล ผ่านผู้ค้าที่ทำสัญญาบนแอพพลิเคชั่น เป๋าตัง เป็นงวดแรกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 โดยเป็นสลากงวดประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2565 จำนวน 5 ล้านใบ จากในระบบทั้งหมด 100 ล้านใบต่องวด ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากประชาชน ขายหมดใน 5 วันเท่านั้น

งวดที่สอง หรืองวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ยิ่งกระแสตอบรับดีมาก ด้วยสถิติขาย 5.15 ล้านใบ หมดใน 3 วัน และงวดที่สาม หรืองวดวันที่ 16 กรกฎาคม ขาย 5.14 ล้านใบ หมดใน 2 วัน งวดที่สี่ งวดวันที่ 1 สิงหาคม ขาย 7.16 ล้านใบ หมดใน 1 วันครึ่ง งวดที่ห้า งวดวันที่ 16 สิงหาคม ขาย 9.09 ล้านใบ หมดใน 4 วัน งวดที่หก งวดวันที่ 1 กันยายน ขาย 10.32 ล้านใบ หมดใน 5 วัน งวดที่เจ็ด วันที่ 16 กันยายน ขาย 11.45 ล้านใบ หมดใน 6 วัน

ขณะที่งวดที่แปด วันที่ 1 ตุลาคม ขาย 12.87 ล้านใบ ใช้เวลา 10 วัน งวดที่เก้า วันที่ 16 ตุลาคม ขาย 13.96 ล้านใบ ใช้เวลา 11 วัน งวดที่สิบ วันที่ 1 พฤศจิกายน ขาย 14.96 ล้านใบ ใน 14 วัน ซึ่งถือว่าเป็นงวดที่มียอดขายชะลอตัวอย่างมาก เมื่อเทียบกับที่ผ่านมาทั้งเก้างวด ด้านสำนักงานสลากฯ ได้ชะลอการเพิ่มสลากดิจิทัล โดยให้เห็นผลว่าเป็นจุดสมดุลแล้ว ทำให้ในงวดที่สิบเอ็ด วันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ 14.96 ล้านใบ ซึ่งใช้เวลาขายประมาณ 14 วันเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ได้กลับมาเพิ่มสลากดิจิทัลอีกครั้งเป็น 15.62 ล้านใบ โดยใช้เวลาขาย 14 วัน และงวดล่าสุด วันที่ 16 ธันวาคม เพิ่มเล็กน้อยเป็น 16.24 ล้านบาท โดยเปิดจำหน่ายตั้งแต่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา มียอดขายใน 4 วันแรก (วันที่ 2-5 ธันวาคม) ถึง 11 ล้านใบ ถือว่าเป็นการขายได้มากที่สุด เมื่อกับช่วงเวลาเดียวกันของทุกงวดตั้งแต่เริ่มสลากดิจิทัลมา

จึงยังไม่ถือว่าเป็นจุดอิ่มตัว

แม้ว่าสำนักงานสลากฯ จะใช้เวลาตัดสินใจนานกว่า จะออกโครงสลากดิจิทัล แต่ก็ยังได้รับความนิยมจากประชาชน ซึ่งในทุกวันนี้ก็มีทั้งเสียงสนับสนุน ทั้งภาคประชาชน และรัฐบาลก็นำไปประชาสัมพันธ์เป็นผลงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง

ส่วนเสียงค้านส่วนใหญ่มาจากผู้ค้าที่อยู่ในระบบเดิม และนอกระบบที่ขายสลากใบ และกลุ่มองค์กรด้านการศึกษา ก็กังวลเรื่องการที่เด็กและเยาวชนจะเข้าถึงงง่ายขึ้น และมอมเมาประชาชน

นอกจากนี้ สำนักงานสลากฯ ยังมีโครงการคู่ขนานเพื่อประชาชนซื้อสลาก ในราคา 80 บาทได้จริง คือ จุดขายสลาก 80 บาท ที่กระจายทั่วประเทศ 1,047 จุด มีการขายสลากประมาณ 2.5 ล้านใบ ทำให้ปัจจุบันมีสลาก ราคา 80 บาท รวมกับสลากดิจิทัลที่ได้รับการการันตีจากสำนักงานสลากราว 18-19 ล้านใบ ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่สำนักงานสลากฯ กำหนดไว้ว่า ภายในสิ้นปี 2565 จะมีสลากราคา 80 บาท 20 ล้านใบ

อย่างไรก็ตาม ราคาสลากใบตามแผงก็ไม่ได้ลดลงมาก ทั่วไปยังพบราคา 100 บาท มีชุดใหญ่ ใบละ 120 บาท เป็นต้น เนื่องจากสลากยังคงมีจำนวน 100 ล้านใบเท่าเดิม แต่มีการแบ่งส่วนที่สลากดิจิทัล ผู้ค้าในระบบก็ไม่ได้จองสลากทุกงวด แถมตลาดใหม่อย่างแพลตฟอร์มออนไลน์ก็เข้ามาแย่งรับซื้อสลากมาขายต่อ ทำให้สลากไม่เพียงพอต่อผู้ต้องการที่จะเอาไปขาย

แต่สำนักงานสลากฯ ยืนยันว่า จะไม่มีการพิมพ์สลากเพิ่ม เพราะ 100 ล้านใบสมดุลกับความต้องการซื้อของประชาชนแล้ว

 

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มที่ขายสลากออนไลน์ต่างๆ ในทุกวันนี้ ยังไม่ถือว่ามีโทษร้ายแรงตามกฎหมาย เพียงอาจจะมีกรณีขายเกินราคา ซึ่งเป็นเพียงโทษปรับไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น และยึดสลากคืน รวมถึงบางคดีก็ยังอยู่ในชั้นศาล จึงทำให้ไม่สามารถใช้อำนาจกฎหมายปิดแพลตฟอร์มได้ นอกจากกรณีที่หลอกขายสลาก โดยไม่มีสลากใบจริง หรือขายสลากปลอม

ขณะที่สำนักงานสลากฯ มีแผนตรวจสอบผู้ค้าที่ได้รับสลากไปแล้ว แต่นำไปขายยกเล่มให้กับผู้ค้าอื่นๆ ถือว่าเป็นการทำผิดเงื่อนไข และผิดสัญญากับสำนักงานสลากฯ โดยมีการตรวจสอบเข้มข้นตั้งแต่ตั้งทาง คือการรับสสากเล่ม ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ มีการใช้ระบบสแกนใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตนในการรับสลากทุกครั้ง ไม่ให้รับแทนได้ และขอร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยสอดส่องการขายยกเล่มด้วย

ด้านปลายทาง สำนักงานสลากฯ จะตรวจสอบสลากในที่นำมาขึ้นรางวัล ด้วยการสังเกตจุดที่ผิดปกติ อาทิ ผู้มาขึ้นรางวัล 1 คน งวดเดียว 5 พันใบ ก็ต้องตรวจสอบว่าสลากนี้ เป็นของผู้ค้าในระบบคนใด จากนั้นก็จะลงตรวจสอบในเชิงลึกว่า ได้นำไปขายยกเล่มหรือไม่

หากพบว่านำไปขายยกเล่ม ก็ต้องยึดโควต้าคืน เพื่อนำไปจัดสรรให้ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ค้าสลากรายย่อยกับสำนักงานสสลากต่อไป

นอกจากนี้ สำนักงานสลากฯ อยู่ระหว่างการทบทวนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2562 ซึ่งจะครบ 5 ปีที่ประกาศใช้ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกฎหมาย ไปศึกษารายละเอียดการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงบทลงโทษให้หนักขึ้น ทั้งกรณีขายเกินราคา และการนำสลากไปขายยกเล่มด้วย

ส่วนการแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินในระยะยาว ยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ สลากเลข 2 และ 3 ตัว (เอ็น 2 และเอ็น 3) ลักษณะคล้ายหวยใต้ดิน ที่สามารถระบุเลขที่ต้องการได้ และสลากเลข 6 หลัก (แอล 6) ที่มีหน้าตาเหมือนกับสลากปัจจุบัน แต่จะจำหน่ายรูปแบบดิจิทัล โดยไม่มีการพิมพ์เป็นสลากใบ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ คาดว่าน่าจะได้เห็นความชัดเจนในปี 2566 นี้

สลากดิจิทัล จะเป็นทางที่ถูกนำไปสู่การปิดฉากตำนานหวยแพง ได้หรือไม่ ปี 2566 ประชาชนจะได้รับข่าวดี…มารอลุ้นกัน