คอฟฟี่เบรก ประภาส อิ่มอารมณ์ / …สุภาพบุรุษแห่งกรุงโรม…

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

…สุภาพบุรุษแห่งกรุงโรม…

อะคาเดมีที่พวกเราเรียน คงเลือกได้ทำเลนี้มานานแล้วจึงสามารถตั้งอยู่กลางกรุงโรมได้ ใกล้แหล่งที่นักท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง และจะเยี่ยมชมสถานที่ที่อยู่ในรายการที่เป็นหัวใจของการมาชมกรุงโรมมากมาย

ถ้าต้องพาคนไทยที่มาแวะที่โรม เรามักจะแนะนำให้ลูกทัวร์ส่วนใหญ่พยายามใช้ขาของแต่ละคนเป็นพาหนะหลักสำหรับเดินทางไปชมสถานที่ต่างๆ เนื่องจากสามารถเคลื่อนย้ายไล่เรียงต่อเนื่องกันได้ไม่ยาก

ยกเว้น “วาติกัน” ต้องข้ามแม่น้ำ จึงจะต้องอาศัยรถประจำทาง หรือแท็กซี่ หากส่งภาษาท้องถิ่นไม่ได้ รับรองต้องถูกมันขับวนเพิ่มตัวเลขในมิเตอร์ เพราะถ้าเก็บราคาซื่อตรงตามระยะทาง มิเตอร์เริ่มต้นยังไม่ทันขยับเปลี่ยน ก็ถึงวาติกันเสียแล้ว

ถ้าต้องพาแค่สักคนสองคน ก็จะใช้รถประจำทางเป็นหลักเพราะรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี และแขกที่มาด้วยก็แฮปปี้ เพราะไม่ต้องกลับโรงแรมแล้วพบว่าน่องโป่ง จนเข็ดขยาดไม่อยากไปไหนอีกเลย

แต่บางกรุ๊ปก็จำเป็นต้องใช้แท็กซี่ เนื่องจากมีสัมภาระพะรุงพะรังเพราะลูกทัวร์ตั้งใจมาช้อปกันโดยตรง

หนึ่งในจุดชมวิวที่จำเป็นต้องชักรูปไว้เป็นที่ระลึกต้องเป็น “villa Borgese วิลล่า โบร์เกเซ่” ซึ่งถือว่าเป็นหลังคาของกรุงโรม เพราะสามารถจะมองเห็นภาพของสถานที่สำคัญๆ จากตรงระเบียงของสวนซึ่งเป็นมุมกว้าง หรือจะหยอดเหรียญขยายให้ชัดเจนได้จากกล้องส่องทางไกล… ก็ตื่นตาไปอีกแบบ

วิลล่า โบร์เกเซ่ นี้ เมื่อก่อนสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นสมบัติของท่านคาร์ดินัลองค์หนึ่งซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของพระสันตะปาปาปอลวี และพื้นที่กว้างขวางบนนี้เคยเป็นไร่องุ่นมาก่อน ต่อมาตอนปลายศตวรรษที่ 19 จึงได้ปรับปรุงเป็นสวนที่มีภูมิทัศน์แบบอังกฤษ และสุดท้ายรัฐบาลอิตาลีได้ซื้อต่อมาเป็นสมบัติของชาติ เปิดให้ประชาชนได้ใช้เป็นที่พักผ่อน

วิลล่า โบร์เกเซ่ สามารถเดินขึ้นทาง “บันไดสเปน Spanish step” ที่มีชื่อเสียงก้องโลก และอีกทางจาก “Piazza del Popolo” พวกเราจะใช้ทางขึ้นนี้หากต้องการไปเดินเล่นหรือพักผ่อนบนนั้น เพราะใกล้อะคาเดมี และบาร์สโมสรที่เป็นแหล่งชุมนุมของคนไทย

ส่วนมากจะไปกันวันธรรมดา เพราะผู้คนไม่มากมายเหมือนวันเสาร์อาทิตย์ เนื่องจากเขาจะจัดการแสดงเป็นโปรแกรมตั้งแต่สายจนจรดค่ำ แม้บริเวณจะกว้างขวาง แต่เมื่อมีจุดสร้างความเพลิดเพลินเป็นระยะๆ ก็ทำให้สวนแห่งนี้ดูแคบไปถนัดตา

ก่อนอื่น ต้องขออธิบายชั่วโมงการเรียนของอะคาเดมีเพื่อความเข้าใจ ชั้นเรียนภาคปฏิบัติ เช่น วาดเส้น หรือปั้น จะเริ่มเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงบ่ายโมง แล้วจะพักยาวไปเปิดอีกทีห้าโมงครึ่ง

ถามว่าทำไมพักกันนานตั้งสี่ชั่วโมงกว่า คำตอบคือ พวกคุณเลี่ยนเขากินอาหารเป็นเซ็ต เริ่มจากซุป+ปาสต้า+สลัด+ประเภทเนื้อสัตว์เนื้อปลา อาหารทะเล+ผลไม้+เนย+กาแฟ+ขนมปังและไวน์ ที่สำคัญ+เม้าธ์ ซึ่งตั้งแต่หย่อนก้นลงนั่ง และดื่มกาแฟ ก่อนปิดเซ็ตเมนูตามสไตล์อิตาเลียน

จากนั้นก็จะเป็นการนอนพักกลางวัน “siesta เซียสต้า” เหมือนกันไปหมดทั้งร้านค้าและบริษัท เลิกงานอีกทีก็ปาไปสองทุ่ม แล้วตั้งต้นเซ็ตดินเนอร์ คล้ายๆ มื้อกลางวัน+เม้าธ์ ก็เสร็จราวห้าทุ่ม จะกลับบ้านนอน หรือไปตะรอนต่อก็ว่ากันไปตามถนัด

บางวันที่ตอนค่ำไม่มีชั้นเรียน พวกคนไทยก็กลับบ้านกันตั้งแต่หัววัน หรือมีธุระปะปังที่ไหนก็ไม่ต้องพะวงในการกลับมาเรียนในตอนค่ำอีกรอบ

แต่ถ้าวันไหนที่มีเรียนตอนค่ำ พวกกระเป๋าน้อยก็จะหาร้านสปาเกตตีที่สั่งแค่ปาสต้าเพียงอย่างเดียว และใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็อิ่มแปล้แล้ว แล้วจะรอเวลาที่บาร์ด้วยการนั่งถองเบียร์สรวลเสเฮฮา จนได้เวลาก็ทยอยเดินไปอะคาเดมีที่อยู่ห่างจากบาร์แค่สองสามร้อยเมตรเท่านั้นเอง

อันนี้ต้องชื่นชมคนไทยรุ่นแรกๆ ที่ตาแหลมเลือกหัวหาดและฝากต่อๆ กันมาจนถึงรุ่นเราได้อย่างเหมาะเหม็งมาก

แต่วันนี้กลุ่มของ ปกรณ์ มโน และต้อม (โตนีโน่) เปลี่ยนสถานที่เป็นการเดินขึ้นไปบนวิลล่า โบร์เกเซ่ หา “ปานีโน้ (ขนมปังเปลือกแข็งผ่าแล้วยัดไส้ด้วยแฮมสไลด์บางๆ เคียงด้วยมะเขือเทศฝานกับผักสลัด” จากกระโจมขายของที่เขาจัดไว้บริการ แทนการจับเจ่าอยู่ในบาร์เหมือนเคย

อากาศในปลายเดือนตุลาคม เริ่มเย็นบ้างแล้วและจะเย็นกว่าปกติเมื่ออยู่บนวิลล่า เนื่องจากเป็นที่สูงจึงมีลมพัดเพิ่มดีกรีความหนาวกว่าข้างล่างลงอีกเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่อยู่อิตาลีจนชิน ถือว่าอากาศกำลังสบาย หาเสื้อนอกสวมทับอีกชั้นก็เข้ากับแฟชั่นของฤดูกาลได้อย่างเหมาะสม

หน้ากระโจมขายของกิน มีคนเข้าคิวซื้อของอยู่ห้าหกคน พวกคนไทยจึงเข้าไปต่อปลายแถวและยืนคุยกันรอเวลา

ทันใดนั้นโดยไม่ได้คาดฝัน มีกะเทยอิตาเลียนสองคนแต่งเป็นหญิงเบียดต่อเป็นปลายแถว อีสองคนนี่ถือโอกาสเข้ามากระแซะ และลอยหน้าลอยตาใส่กลุ่มของพวกคนไทย น้ำหอมที่หมักหมมฉีดซ้ำฉีดซากจนส่งกลิ่นบูดผสมขี้เต่าฝรั่ง เล่นเอาคนไทยวงแตก ปกรณ์ต้องผงะถอยออกห่างตามติดด้วยอีกสองคน

“ไอ้ตี๋! ตกใจเพราะไม่เคยเห็นคนสวยๆ หรือไง”

“กูจะอ้วกแตก! เพราะทนกลิ่นพวกเอ็งไม่ไหวต่างหาก”

“โอ๊ย! ทำเป็นดัดจริต บ้านเอ็งมีสาวสวยๆ แบบข้าสองคนหรือเปล่า”

“มีซีเว้ย! เป็นมิสควีนเวิร์ดที่สวยที่สุดในโลกด้วย พวกผู้หญิงจริงๆ ยังอิจฉากันเลย อยากให้เอ็งสองคนได้เห็นด้วยตา รับรองพวกเอ็งคงอับอายจนไม่กล้าแต่งเป็นผู้หญิงอีกต่อไปแน่ๆ”

“กูไม่เชื่อ ว่าแต่พวกเอ็งอยากจะลองของแปลก เมด อิน อิตาเลีย บ้างไหม พวกกูจะสงเคราะห์ให้”

“ไอ้บ้า! @.#*&@#@O*!!…” คำด่าหยาบคายเป็นภาษาอิตาเลียนที่ไม่สามารถเขียนได้

แล้วทั้งสามคนก็เผ่นผละออกมาจากไอ้ตัวประหลาดกันโดยไม่ต้องนัดหมาย ตามหลังมาด้วยคำหยาบพอกันที่ไอ้กะเทยสองคนตะโกนไล่หลังมา…

พอลับตาจากตรงที่ประคารมมากับนางปลอมสองคนนั้น ต่างก็ปล่อยหัวเราะกันอย่างขบขันกับสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน

“อยากรู้นัก อีกะเทยสองคนนั่น เวลาปวดท้องเยี่ยว มันจะเข้าห้องน้ำของผู้ชายหรือผู้หญิง” มโนผุดความคิดขึ้นมา

“ผมว่ามันต้องเข้าห้องน้ำผู้หญิง ก็แต่งซะครบเครื่องขนาดนั้น” โตนีโน่เห็นต่าง

“งั้น! โตนี่ มาพนันกับพี่ไหม ใครแพ้เป็นเจ้ามือเย็นนี้เลย”

“ได้เลยพี่ เราไม่ได้กินข้าวมื้อใหญ่กันมานานแล้ว”

“ตกลง ปกรณ์เป็นกรรมการก็แล้วกัน ผมว่ากะเทยเข้าห้องน้ำชาย โตนี่ถือหางว่ามันเข้าห้องน้ำหญิง”

“อ้าว! แล้วจะไปตัดสินกันยังไง เพราะไม่มีอะไรมายืนยัน” ปกรณ์คนเป็นกรรมการตั้งข้อสงสัย

“เอ้อ! จริง” มโนคล้อยตาม

“เอาอย่างนี้ก็ได้! ถ้าพวกพี่เชื่อใจผม ตอนพี่ๆ กลับไปเรียนภาคค่ำ วันนี้ผมไม่มีคลาส ผมจะตามพวกมันจนได้เรื่อง แล้วไปเจอกันที่บาร์ตอนเลิกเรียน”

“ตกลง! พี่เชื่อใจนาย”

ทั้งปกรณ์และมโน จบการเรียนภาคค่ำก็มานั่งรอเพื่อลุ้นผลจากโตนีโน่ที่บาร์ จนเบียร์ขวดที่สามกำลังรินเป็นแก้วสุดท้าย โตนีโน่ก็โผล่เข้ามาด้วยอาการเหนื่อยหอบ มโนรีบส่งแก้วเบียร์ของเขาให้อย่างรู้ใจ หลังกระดกเบียร์แก้วที่มโนส่งให้จนเกลี้ยงแล้วดูเหมือนจะเรียกความกระฉับกระเฉงของเขาให้กลับมาเหมือนเดิม

“โอ๊ย! เหนื่อยพี่ ผมตามอีสองตัวไปห่างๆ มันร่อนโฉบเฉี่ยวรังควานคนเขาไปทั่วสวน แล้วลงมาแช่นานอยู่ที่บันไดสเปน ตรงนั้นนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งกันเต็มบันได สุดท้ายไม่ได้เหยื่อที่มันต้องการ ก็เลยเดินระรานเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนไปเรื่อยจนมาถึงโรงหนัง ซึ่งมีห้องน้ำอยู่ก่อนเข้าโรง คราวนี้เลยถึงตอนฟินาเล่เสียที…”

“เอาสั้นๆ มันเข้าห้องน้ำไหน” มโนลุ้นฟังผลด้วยใจจดจ่อ

“ห้องน้ำผู้ชายครับ! ผมตามเข้าไปเห็นด้วยตา มันถลกกระโปรงขึ้นแล้วใช้ปากคาบ ก่อนงัดไอ้จ้อนออกมาปล่อยน้ำระบายความอัดอั้นเหมือนผู้ชายที่ในห้องนั้นเขาทำกัน…ผมแพ้พนันพี่ครับ”

โตนีโน่เสียงระห้อย ไม่ใช่เสียใจกับการแพ้พนัน แต่เป็นความสุดเซ็งที่ยังไม่หายไปกับการได้พบเห็นภาพอุจาดตาที่เคยพบเป็นครั้งแรกในห้องน้ำผู้ชาย

“เกมนี้ต้องยกเลิก เพราะถ้าโตนีโน่แกล้งมดเท็จว่าอีพวกนั้นเข้าห้องน้ำผู้หญิงเพื่อเขาจะได้เป็นผู้ชนะ เราก็ไม่มีอะไรไปโต้แย้งเขา” ปกรณ์ซึ่งรับหน้าที่เป็นกรรมการออกความคิดเห็น

“ถูกต้อง! หากโตนี่ไม่ซื่อสัตย์…เขาน่าจะเป็นผู้ชนะมากกว่าผู้แพ้ ตกลงตามการตัดสินของปกรณ์ ไม่มีผู้แพ้และชนะในเกมนี้ และวันนี้ผมขายรูปได้ขอเป็นเจ้ามือฉลองมิตรภาพแห่งความจริงใจที่มีต่อกัน”

พูดจบมโนก็ยื่นมือให้โตนีโน่จับและสวมกอดกันด้วยความเลื่อมใสต่อกัน โดยมีปกรณ์ซึ่งทำหน้าที่กรรมการซึ่งตัดสินด้วยความเป็นธรรมอมยิ้ม แล้วออกเดินตาม…สองสุภาพบุรุษแห่งกรุงโรม ไปด้วยความสุขใจ