เปิดแผนทลายจีนสีเทา ยึดทรัพย์ ‘ตู้ห่าว’ 5 พันล้าน ‘คฤหาสน์-รถหรู’ เพียบ แฉ สตม.ออกวีซ่าช่วย

กลายเป็นเรื่องที่ถูกขยายผลไปกว้างขวางเกินขอบเขตของคดีอาชญากรรมธรรมดา ที่ไม่รู้ว่าจะมีบทสรุปในจุดใด

สำหรับกรณี “ทุนจีนสีเทา” ที่แอบแฝงมาหาประโยชน์ในประเทศไทยอยู่เป็นเวลานาน ก่อนถูกเปิดโปงจากจอมแฉอย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

และเมื่อตรวจสอบลึกลงไปก็พบกับความจริงที่น่าตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลของเครือข่ายจีนสีเทา ทั้งเงินสด รถยนต์หรู และคฤหาสน์-คอนโดฯ ทั้งใจกลางกรุงและย่านชานเมือง

จนกลายเป็นคำถามว่าเหตุใดกลุ่มธุรกิจสีเทานี้ถึงเติบโตจากธุรกิจผิดกฎหมายได้อย่างก้าวกระโดด ไม่เคยมีใครระแคะระคาย รับทราบพฤติกรรมเหล่านี้

โดยเฉพาะ “ตู้ห่าว” หรือนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของขบวนการ ที่พบความสัมพันธ์กับคนระดับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

แถมยังเป็นผู้บริจาคเงินรายใหญ่ให้กับพลังประชารัฐ ที่เป็นแกนนำรัฐบาล

จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะต้องทำให้เรื่องราวคลี่คลายโดยเร็ว ยึดความโปร่งใสเป็นหลัก

ให้เห็นว่าไม่มีอำนาจรัฐใดๆ เข้าไปให้ความช่วยเหลือทุนจีนสีเทากลุ่มนี้

ฟื้นศรัทธาจากประชาชนให้ได้เร็วที่สุด!!!

พลิกปมจับมาเฟีย ‘ตู้ห่าว’

กลายเป็นบุคคลที่อยู่ในความสนใจอย่างกว้างขวาง สำหรับตู้ห่าว หรือห่าวเจ๋อตู้ หรือนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นักธุรกิจชาวจีน สัญชาติไทย ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นกลุ่มทุนจีนสีเทา และกลายเป็นผู้ต้องหาในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดและสถานบริการ ที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว

โดยจุดเริ่มต้นของคดีนี้มีที่มาจากการบุกทลายผับจินหลิง ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญราษฎร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ซึ่งจากการตรวจค้นพบเป็นการลักลอบเปิดสถานบันเทิง และมีการมั่วสุมเสพยาเสพติดอยู่ภายในสถานที่ดังกล่าวจำนวนมาก

จากการขยายผลตรวจสอบพบว่าเจ้าของที่แท้จริงก็คือนายตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ ที่พบว่าเข้าออกสถานที่ดังกล่าวเป็นประจำ แถมวันเกิดเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่ด้วยเหตุผลกลใดทำให้ไม่ถูกจับกุมในวันนั้น

จนเป็นเรื่องราวที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉ 5 แก๊งมาเฟียจีนที่ทำธุรกิจในเมืองไทยแบบผิดกฎหมาย ทั้งเรื่องสถานบริการ บ่อนการพนัน การฟอกเงิน และยาเสพติด

พร้อมเปิดโปงว่า ตู้ห่าวมีเครื่องบินส่วนตัว พร้อมจะบินหนีออกนอกประเทศเมื่อไหร่ก็ได้ จึงจี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมดำเนินคดีก่อนที่จะสายเกินไป

ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติหมายจับเลขที่ 777/2565 ในฐานความผิด สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นบ้านหรูย่านพระราม 5 ที่เป็นบ้านพักของตู้ห่าว พบเพียง พ.ต.อ.หญิง ตำแหน่ง ผกก.กองการต่างประเทศ ภรรยาของตู้ห่าว ซึ่งชี้แจงว่าตู้ห่าวไม่ได้พักอาศัยที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมนัดหมายนำตัวตู้ห่าวมามอบตัวสู้คดี

ต่อมาเวลา 15.00 น. วันที่ 23 พฤศจิกายน ตู้ห่าวเดินทางเข้ามอบตัวที่สโมสรตำรวจ โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์รับมอบตัวและสอบปากคำด้วยตัวเอง จากนั้นได้แถลงผลการจับกุมว่า จากการสอบสวนพบว่ามีกลุ่มนายทุนจีนสีเทา 5 กลุ่มเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย ประกอบด้วย 1.กลุ่มนายตู้ห่าว 2.กลุ่มนายเดวิด 3.กลุ่มนายหยู่ฉางเฟ่ย 4.กลุ่มนายโทนี่ และ 5.กลุ่มนายหมิง ทั้ง 5 กลุ่มมีความสัมพันธ์รู้จักกัน โดยแต่ละกลุ่มจะแยกย้ายไปธุรกิจผับในพื้นที่ต่างๆ

นอกจากนี้ จากการสอบสวนภรรยาตู้ห่าว ที่เป็นตำรวจยศ พ.ต.อ. ได้สอบถามเรื่องบ้านหรูราคา 200 ล้านบาท ซึ่งเจ้าตัวต้องชี้แจงที่มาของเงินให้ได้ เพราะลำพังเงินเดือนข้าราชการไม่น่ามีทรัพย์สินขนาดนี้ได้ พร้อมอายัดทรัพย์ไว้ตรวจสอบ

ส่วนตู้ห่าวได้นำส่งฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยผู้ต้องหายื่นหลักทรัพย์ขอประกัน 5 ล้านบาท แต่ศาลพิเคราะห์ว่าเป็นคดีอัตราโทษสูง ยาเสพติดของกลางมีจำนวนมาก จึงไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ให้ควบคุมตัวที่ทัณฑสถานบำบัดกลาง

บิ๊กโจ๊กลุยอายัด 5 พันล้าน

อีกเรื่องที่สำคัญเช่นกันก็คือการตรวจสอบทรัพย์สินและอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดและชี้แจงที่มาที่ไปไม่ได้

โดยที่ จ.สมุทรปราการ เข้าตรวจสอบบ้านพักของตู้ห่าว-ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ เลขที่ 98/9 หมู่ 13 ต.บางแก้ว อ.บางพลี ท้องที่ สภ.บางแก้ว บริษัท ดีวาลักษณ์ รีสอร์ต แอนด์ สปา จำกัด เลขที่ 88 หมู่ 3 ต.ศีรษะจระเข้น้อย อ.บางเสาธง และบริษัท โมเดิร์นเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เลขที่ 89 หมู่ 8 ต.ศีรษะจระเข้น้อย ท้องที่ สภ.บางเสาธง

ทั้งนี้ พบที่บริษัทโมเดิร์นเจมส์ มีลักษณะเป็นห้างสรรพสินค้า เนื้อที่กว่า 80 ไร่ จำหน่ายสินค้าประเภทจิวเวลรี่ เครื่องสำอาง แต่อาคารถูกปล่อยร้างทรุดโทรม

ที่ จ.ภูเก็ต เข้าค้น 8 เป้าหมาย อาทิ บริษัท รอยัล ปาร์ค ภูเก็ต จำกัด หมู่ 4 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต เป็นสวนงูและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากงู โมเดิร์น เจมส์ ภูเก็ต เป็นโชว์รูมจิวเวลรี่ขนาดใหญ่ใน ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ยึดและอายัดทรัพย์จำนวนหนึ่งไว้ตรวจสอบ ทั้งนี้ แต่ละสถานที่ที่ตำรวจเข้าตรวจค้นจะมีทั้งโชว์รูมจิวเวลรี่ โชว์รูมจำหน่ายยางพาราสำเร็จรูป สถานที่โชว์งู-ขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากงู แต่ละสถานที่จะใหญ่โตมโหฬารมีเนื้อที่นับสิบไร่ ตัวอาคารสร้างอย่างสวยงามมูลค่านับร้อยล้านบาท

พร้อมกันนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าอายัดเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของตู้ห่าว ที่ระบุว่าเจ้าของคือ บริษัทโมเดิร์นลาเท็กซ์ ที่พบว่าตู้ห่าวถือหุ้นใหญ่ไว้ตรวจสอบ

นอกจากนี้ ยังตรวจสอบหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ด ย่านลาซาล พบโครงการดังกล่าว มีทั้งหมด 66 หลัง แต่ละหลังมูลค่า 35-60 ล้านบาท มีคนจีนถือครองในนามตัวแทน 50 หลัง เป็นของคนไทย 16 หลัง พบทยอยซื้อมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยเงินสด

พร้อมตรวจสอบห้องชุดหรูชั้น 69 ของคอนโดมิเนียม แมกโนเลีย เรสซิเดนซ์ ย่านเจริญนคร ติดกับห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า จากการทลายเครือข่ายทุนจีนสีเทา สามารถอายัดทรัพย์ของตู้ห่าวเพียงคนเดียวมีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ยังไม่รวมเครือข่ายนอมินีต่างๆ รวมทั้งจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนได้แล้ว 102 คน เป็นผู้ต้องหารายใหญ่ 5 คน

แฉ สตม.มีเอี่ยวจีนสีเทา

นอกจากการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง คำถามสำคัญคือเหตุใดตู้ห่าว และกลุ่มทุนจีนสีเทาถึงมีกิจการใหญ่โตในประเทศนี้ได้ และที่ผ่านมาหากไม่มีการเปิดโปงข้อมูลจากนายชูวิทย์ จะมีการดำเนินคดีกับกลุ่มทุนเหล่านี้หรือไม่

ซึ่งจากข้อมูลของนายชูวิทย์ระบุว่า มีความใกล้ชิดกับนักการเมืองใหญ่ ฉายาเจ้าพ่อเมืองกรุง เคยพาเข้าไปกราบบุคคลที่ชอบสะสมนาฬิกา และเคยบริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้กับพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อย้อนดูประวัติ พบว่า ตู้ห่าวเป็นชาวจีนที่ยื่นคำขอรับสัญชาติไทย เนื่องจากมีคู่สมรสเป็นคนไทย เป็นนักธุรกิจชื่อดังใน จ.ภูเก็ต เปิดศูนย์แสดงสินค้า อัญมณี ที่นอนยางพารา สมุนไพร จำหน่ายสินค้าให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวภูเก็ต โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน

เคยตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีจ้างวานใช้และพยายามฆ่าผู้อื่น และจ้างวานวางเพลิง สวนงู ของบริษัทคู่แข่ง มีการทำร้ายร่างกาย รปภ.จนบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555 แต่คดีดังกล่าวอัยการพิจารณาสำนวน 507 หน้า ภายใน 1 วันและสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาเมื่อ ตร.ทำความเห็นแย้ง นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อสส.ในขณะนั้น สั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง

และแน่นอนว่าคำถามจะต้องไปอยู่ที่องค์กรตำรวจ หลังพบว่ามีผู้ต้องหานับร้อยรายใช้วีซ่าสำหรับการศึกษาและเปลี่ยนแปลงวีซ่าเป็นประเภทต่างๆ

ขณะที่นายชูวิทย์ก็เปิดโปงกล่าวหาว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทา ในรูปแบบขบวนการแปลงวีซ่า จากวีซ่าท่องเที่ยว เป็นวีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ หรืออาสาสมัครมูลนิธิ โดยติดต่อผ่านคนกลาง สำนักงานกฎหมายชาวจีนที่ว่าจ้างคนไทย และรูปแบบบุคคล เพื่อไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิปรานต์ ฮั่นอวี ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการศึกษาภาษาจีนของเด็กและเยาวชน ซึ่งการเปลี่ยนวีซ่าดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายกับ ตม.รายละ 100,000-300,000 บาท

ระหว่างปี 2563-2564 มีการอนุมัติให้ผู้เปลี่ยนประเภทวีซ่าแล้วกว่า 3,325 ราย ซึ่งนายตำรวจดังกล่าวมียศ พล.ต.ต.ถึง 3 นาย เป็นอดีต ผบก.ตม.4 และ ตม.5 โดยในนี้มี 2 นายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) 47 กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และมูลนิธิอื่นรวม 6 แห่งเกี่ยวข้อง

สะเทือนไปทั้งวงการตำรวจและการเมืองจริงๆ!!!