บึ้มรางรถไฟ-คาร์บอมบ์แฟลต ‘8 ปี ประยุทธ์’ ปมขรก.นอกรีต-เจรจาสันติภาพไม่คืบ

เหตุการณ์รุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายปีเกิดขึ้นถี่ ทั้งคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจ ที่นราธิวาส และวางระเบิดรางรถไฟที่ อ.สะเดา จ.สงขลา

เหตุระเบิดเกิดซ้ำเช้าวันที่ 6 ธันวาคม บริเวณพื้นที่ปฏิบัติงานเก็บกู้รถพ่วงขนส่งสินค้า ขบวน 707 ตกราง มีเจ้าหน้าที่ ร.ฟ.ท.เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 4 คน ห่างจากจุดคนร้ายลอบวางระเบิดตู้รถไฟเมื่อ 3 ธันวาคม เพียง 200 เมตร

ขณะเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติการกู้ตู้ขบวนสินค้า ซ่อมแซมรางรถไฟที่โดนลอบวางระเบิด ระหว่างสถานีรถไฟคลองแงะ-ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา มีตู้รถไฟตกจากราง 10 ตู้ จากที่ลากจูงมาทั้งหมด 15 ตู้ รางรถไฟฉีดขาดเสียหายอย่างหนัก มีหลุมระเบิดขนาดใหญ่ใต้รางรถไฟ จากอานุภาพระเบิดชนิดแสวงเครื่อง

หลังเกิดเหตุการณ์ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังใช้ความพยายามก่อกวนสร้างสถานการณ์ รูปแบบการก่อเหตุใกล้จุดระเบิดเดิม

นั่นหมายความว่า ผู้ก่อเหตุประเมินสถานการณ์แล้วว่า หลังวางระเบิดรางรถไฟ ต้องมีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เก็บวัตถุพยานหลักฐาน จึงตั้งใจให้มีเหตุระเบิดซ้ำ หวังทำลายชีวิตทรัพย์สิน

ขณะที่ พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา อธิบายถึงเหตุระเบิดซ้ำว่า ตั้งแต่ลูกแรก 3 ธันวาคม มีการเคลียร์พื้นที่ ปฏิบัติตามระยะปลอดภัย แต่มีอุปสรรคคือฝนตก และที่เกิดเหตุเป็นรางรถไฟ

“ยืนยันว่าทั้งอุปกรณ์และสุนัขดมกลิ่น พร้อมทั้งหมด แต่บางครั้งด้วยข้อจำกัดสภาพพื้นที่ ทั้งหินทั้งรางรถไฟเป็นเหล็ก อุปกรณ์บางอย่างอาจจะใช้ไม่ได้ และการระเบิดลูกแรกยังมีตัวสารวัตถุระเบิดปะปนกระจายอยู่ด้วย บางครั้งสุนัขดมกลิ่นเองก็อาจจะผิดพลาดได้เหมือนกัน…”

ดังนั้น ถ้าอ่านถึงตรงนี้ ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นระเบิดตกค้างจากเหตุเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม หรือไม่

ทั้งๆ ที่หลังเหตุระเบิดครั้งแรก 1 วัน พล.ต.ต. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 ได้นำคณะทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่เกิดเหตุ ได้เคลียร์ทั้งหมดแล้วไม่พบระเบิดเพิ่มเติม ยืนยันว่ามีระเบิดเพียงลูกเดียว ซึ่งฝังไว้ใต้รางรถไฟ

พร้อมระบุว่า ชุดสืบสวนภาค 9 เร่งรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางสำคัญต่างๆ จากพื้นที่ชายแดนใต้ รวมถึงขอความร่วมมือชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูล เพราะเชื่อว่าอาจมีคนในพื้นที่ร่วมก่อเหตุ หรือชี้เป้าหมายจุดซุกซ่อนระเบิด ก่อนหน้านี้เฝ้าระวังพื้นที่ใกล้ชิด เนื่องจากขบวนรถไฟเป็นเป้าหมายก่อเหตุมาตลอด เพื่อทำลายความเชื่อมั่นทั้งการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจการค้า และที่ผ่านมามักจะก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอรอยต่อสงขลาเท่านั้น กระทั่งครั้งนี้เป็นการก่อเหตุนอกพื้นที่

จากการประมวลฝ่ายความมั่นคง ให้น้ำหนักเป็นฝีมือขบวนการบีอาร์เอ็น ที่มีเป้าต้องการทำลายเศรษฐกิจหรือไม่

มีการตั้งข้อสังเกตว่า รถไฟสายดังกล่าวเชื่อมระหว่างชุมทางหาดใหญ่กับสถานีปาดังเบซาร์ อ.สะเดา มีขบวนรถท้องถิ่น เชื่อมต่อระหว่างไทยและมาเลเซีย วันละ 2 ขบวน และเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่าง 2 ประเทศ และเตรียมจะเปิดเดินรถไฟจากชุมทางหาดใหญ่ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวมาเลเซียสนใจเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การลงมือต้องการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว การฟื้นฟูเศรษฐกิจในขณะนี้

ย้อนไปก่อนหน้านี้ 10 วัน ตรงกับวันที่ 22 พฤศจิกายน เกิดเหตุระเบิดแฟลตตำรวจ สภ.เมืองนราธิวาส เวลา 12.40 น. ทำให้ ร.ต.อ.สุทธิรักษ์ พันธนิยะ อายุ 52 ปี รอง สวป.สภ.เมืองนราธิวาส เสียชีวิต มีผู้บาดเจ็บกว่า 31 คน เป็นระเบิดแสวงเครื่อง ที่ประกอบจากถังแก๊สหุ้งต้ม หนัก 50 ก.ก.ซุกในกระบะ 4 ประตูยี่ห้ออีซูซุ สีดำ แรงทำลายล้างทำให้รถยนต์ จักรยานยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน

ถือว่าโหดเหี้ยม เพราะในแฟลตมีพลเรือนอาศัยอยู่ด้วยทั้งสตรีและเด็ก มีทารก 1 ขวบได้รับบาดเจ็บด้วย

หน่วยข่าวได้ให้ข้อสังเกตว่า เป็นคาร์บอมบ์ครั้งแรกในรอบ 6 ปีของนราธิวาส

เลือกแฟลตตำรวจ เหมือน “ล้วงคองูเห่า” ถ้าคนร้ายวางแผนไม่ดี มืออาชีพไม่พอ ไม่กล้าลงมืออย่างอุกอาจขนาดนี้

กล้องวงจรปิดพบชายอายุ 30-40 ปี ไว้ผมยาวสวมเสื้อโปโลสีทึบเอาเสื้อเข้าในกางเกงลักษณะคล้ายเจ้าหน้าที่แต่งชุดครึ่งท่อน สวมหน้ากากอนามัย หลังขับรถกระบะมาจอดในถิ่นตำรวจ เดินออกจากไปอย่างใจเย็น มาดนิ่ง ไม่วอกแวก ขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไป

อีก 2 วันถัดมา พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 ลงนามคำสั่งให้ พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส ไปช่วยราชการ ศปก.ภ.จว.นราธิวาส แล้วให้ พ.ต.อ.รณน สุรวิทย์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.นราธิวาส รรท. ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส

ถือเป็นการเด้ง ผกก.เซ่นคาร์บอมบ์ครั้งนี้ เพราะไม่ได้ระมัดระวังมากพอ จึงกลายเป็นจุดอ่อนถูกวางระเบิด

สําหรับมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ ประมวลจากผู้เกี่ยวข้องได้ว่า เป็นเรื่องปกติกลุ่มก่อความไม่สงบ ฉกฉวยโอกาสแผลงฤทธิ์ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละละเลย เลินเล่อ

และกระบวนการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ค่อยคืบหน้า จึงทำให้เกิดความกดดันในกลุ่มขบวนการ

ประกอบกับก่อนหน้านี้ กลุ่มขบวนการโดนกดดันจากฝ่ายรัฐ ปิดล้อม ตรวจค้น บังคับใช้กฎหมาย จนนำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรม หลายกรณี จึงต้องการแก้แค้น ตอบโต้กันไป

ที่สำคัญ ‘สนิมเกิดจากเนื้อใน’ เพิ่มดีกรีปัญหายิ่งขึ้น โดยเฉพาะมีการแฉว่า บิ๊กตำรวจเอื้อประโยชน์ให้แก๊งค้ายา ในพื้นที่มีปัญหาแพร่ระบาดยาเสพติดรุนแรง และความขัดแย้งผลประโยชน์ไม่ลงตัวของสีกากี

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอด 8 ปี ทั้งภายใต้ท็อปบู๊ต จนมาถึงยุคเลือกตั้งที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ กระบวนการเจรจาสันติสุขไม่มีความคืบหน้า การแก้ปัญหายังอยู่ที่เดิม ทั้งๆ ที่ทุ่มเทงบฯ ลงไปมหาศาล จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเสมือนแดนสนธยา มีการก่อเหตุความไม่สงบเป็นระลอกๆ ท่ามกลางข้าราชการบางสีหาผลประโยชน์จากงบประมาณ, การนับอายุราชการ ชื่ออยู่แต่ตัวไม่ได้ไป กรณี “เจ๊นุช” ส.ต.ท.ฉาว เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง