พลัง หรือ พัง | สถานีคิดเลขที่12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

การปรับคณะรัฐมนตรี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แม้จะแค่ 3 เก้าอี้ หรือว่าที่จริง 2เก้าอี้ เท่านั้น เพราะ 1 เก้าอี้เป็นของประชาธิปัตย์ ที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง

ส่วน 2 เก้าอี้ คือนายธนกร วังบุญคงชนะ ที่ถูกส่งไปนั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายสุนทร ปานแสงทอง ที่ไปนั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ

แต่ เพียง 2 เก้าอี้นั้น ก็สะท้อน ภาพการเมืองใหญ่ ได้ตามสมควร

โดยเฉพาะความสัมพันธ์ ระหว่างพรรคพี่ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับพรรคน้อง ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ที่ ณ นาทีนี้ เมื่อมองผ่านการปรับคณะรัฐมนตรี เราสัมผัสได้ถึงภาวะ”คนละครึ่ง”อย่างชัดเจน

นั่นคือ พี่กับน้อง ไม่ถึงขนาด”แตกหัก”

และก็ไม่ได้ ไปถึงขั้น “เราพรรคเดียวกัน” อย่างที่พล.อ.ประวิตร พูด

ที่ว่าไม่ถึงขั้นแตกหัก ก็เพราะก่อนหน้าการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น มีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ อาจใช้จังหวะนี้ จะคุมอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยการส่งคนของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่มีส่วนในการปลุกปั้นพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้าไปเป็นรัฐมนตรี คุมเกมจนกระทั่งมีการเลือกตั้ง

แต่เอาเข้าจริง ก็ส่งเพียงนายธนกรเข้าไป ซึ่งมีภาพเป็นคนใกล้ชิดและไว้วางใจ ในแง่”ส่วนตัว”พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่าจะเชื่อมโยงไปถึงขบวนขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างรวมไทยสร้างชาติ

ขณะเดียวกันก็ยอมโอนอ่อนผ่อนปรนไปตามเงื่อนไขพล.อ.ประวิตร ที่ไปรับปากกลุ่มปากน้ำ ว่าจะให้เก้าอี้รัฐมนตรี

ดังนั้นชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะแยกไปสร้างฐานการเมืองใหม่แต่ก็ยังไม่ถึงสะบั้นเยื่อใยกับพล.อ.ประวิตร

ทำให้พล.อ.ประวิตร ที่ดูเหมือนถูกทิ้ง หรือถูกน้องมาตกปลาในบ่อชิงคนจากพรรคพลังประชารัฐ รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

อย่างน้อยที่สุด กลุ่มปากน้ำที่กุมเสียงอยู่ 5-6 เสียง ก็ถูกบุญคุณผูกมัดให้อยู่กับพล.อ.ประวิตร หรือพรรคพลังประชารัฐ ต่อไป

จึงไม่รู้ว่า ที่พล.อ.ประวิตรหลุดปากออกมาว่า พรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคเดียวกัน เป็นการหลุดหลังจากได้รับทราบล่วงหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงน้ำใจในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้หรือไม่

แต่ที่แน่ๆ การที่กลุ่มปากน้ำได้ นั่งรัฐมนตรี ก็ทำให้กระแส”แตกหัก”ระหว่าง 2 ป. ลดดีกรีลง

และทำให้ มีการมองเกมล่วงหน้าไปว่า นี่เป็นยุทธวิธี “แยกกันเดิน รวมกันตี”ของพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตร มากขึ้น

กระนั้นคงจะมองโลกสวย หรือรีบสรุปเกินไป ว่า นี่คือ การ”รวมพลัง”ของ”รวม”ไทยสร้างชาติกับ”พลัง”ประชารัฐ คงไม่ได้

เพราะเส้นทางแห่งการช่วงชิงอำนาจ เพิ่งเริ่มต้น

ระยะทางยังเหลืออีกยาวไกล

รวมไทยสร้างชาติ เองก็ยังไม่ชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะเข้าไปร่วมขนาดไหน และการเข้าร่วมนั้นจะส่งผลกระทบต่อพลังประชารัฐมากเพียงใด

รวมทั้งจะสร้างผลสะเทือนต่อความสัมพันธ์ ระหว่างพี่น้อง 2 ป.ขนาดไหน

ภาวะแห่งความไม่แน่นอนและพลิกผัน อาจจะทำให้ การ”รวมพลัง” กลายเป็นรวมกัน”พัง”ก็ได้

เพราะเอาเข้าจริง “การแยกกันเดิน” อาจจะทำให้ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร อ่อนพลังลง ไม่อาจกวาดเก้าอี้ส.ส.ให้อยู่ในระดับเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลได้

พรรคร่วมรัฐบาลอื่น รวมถึงพรรคฝั่งฟากฝ่ายค้าน ก็คงไม่อยู่เฉยๆ หากแต่พร้อมจะช่วงชิงเพื่อกุมอำนาจอยู่ตลอดเวลา

พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตรอาจจะไม่ได้เป็นผู้กำหนดเกมส์เหมือนที่ผ่านมา

ภาวะเช่นนี้ จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องประคองสถานการณ์ไม่แตกหักกับพล.อ.ประวิตร พร้อมๆกับแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองไปด้วย

จึงโน้มเอียงไปทาง”รวมพลัง”กันไว้ก่อน ดีกว่าจะ”พัง”

—————-