‘ผู้นำ’ ที่ดี ต้องรู้ว่าหมดเวลาของตัวเองรึยัง | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

 

‘ผู้นำ’ ที่ดี

ต้องรู้ว่าหมดเวลาของตัวเองรึยัง

 

บทสวดมนต์บทหนึ่งที่เราได้ยินพระท่านสวดให้เราฟังอยู่เสมอเวลามีงานพิธีการต่างๆ ได้แก่บทที่ชื่อว่า มงคลสูตร

มีเนื้อหาว่าด้วยสิ่งที่เป็นมงคลในทัศนะทางพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องของวัตถุหรือพิธีกรรม หากแต่เป็นเรื่องของความประพฤติที่ถ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนในเรื่องนี้แล้วจะเกิดเป็นสวัสดิมงคลแก่ตัวเอง

บทสวดมนต์หรือพระปริตรบทนี้ขึ้นต้นด้วยภาษาบาลีที่แปลเป็นไทยว่า การไม่คบพาล การคบบัณฑิต เป็นอุดมมงคลอย่างหนึ่ง

ในชีวิตของผมที่ผ่านโลกมาพอสมควร ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผมจะได้พบแต่คนที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น บางทีก็หมุนเวียนไปพบเจอคนที่ไม่เป็นบัณฑิตอยู่บ้างเหมือนกัน

ถ้าผมรู้สึกตัวว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงออกมาให้ห่างไกล

ตรงกันข้ามถ้ามีโอกาสได้พบปะกับคนที่เป็นบัณฑิต การได้พูดคุยกับท่านเหล่านั้นได้ทำงานร่วมกัน ย่อมเป็นความสุขและเป็นอุดมมงคลสำหรับชีวิตของผมตามนัยแห่งพระปริตรบทดังกล่าว

 

เมื่อยี่สิบห้าปีมาแล้ว โชคชะตาพาผมเข้าไปทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 99 คน บุคคลสำคัญท่านหนึ่งในจำนวนนั้นคืออดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัยของเมืองไทย คือ คุณอานันท์ ปันยารชุน

ผมมีระยะเวลาการทำงานอยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ว่านี้ประมาณ 10 เดือน นอกจากการประชุมร่วมกันในฐานะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญวงใหญ่แล้ว ผมยังมีโอกาสทำงานร่วมกับท่านอานันท์ ในคณะกรรมการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นคณะทำงานชุดเล็กของสภาใหญ่ด้วย

ในคณะทำงานวงเล็กนี่เองทำให้ผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดและเรียนรู้วิธีทำงานของท่านโดยวิธีที่โบราณเรียกว่าครูพักลักจำมาเป็นอันมาก

จำได้ว่าช่วงหนึ่ง เพื่อให้กรรมาธิการไม่หลบลี้หนีหายไปไหน ฝ่ายจัดการได้ยกขบวนคณะกรรมาธิการทั้งชุดและสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญไปทำงานร่วมกันที่เมืองพัทยา โดยจัดให้อยู่ในโรงแรมเดียวกัน ทำงานตั้งแต่เช้าไปจนถึงค่ำ กว่าจะเลิกงานก็ประมาณสามทุ่ม

หลังสามทุ่มแล้ว คนส่วนมากแยกย้ายกันไปพักผ่อนหรือทำอะไรต่อมิอะไรตามอัธยาศัย แต่ท่านประธานคณะกรรมาธิการของเราคือท่านอานันท์ ท่านเป็นคนนอนดึก ยังไม่ขึ้นห้องพักง่ายๆ

ผมในฐานะสมาชิกร่วมคณะกรรมาธิการและอยากฟังท่านคุยอะไรต่อมิอะไรที่เป็นเกร็ดวิชาความรู้จึงพลอยนอนดึกไปด้วย โดยการนั่งร่วมวงสนทนากับท่านจนค่อนคืนเข้าไปแล้วจึงเลิกวง

 

จําได้แน่นอนว่าผมได้เรียนรู้จากท่านผู้ใหญ่ท่านนี้ว่า การทำงานร่วมกันในสภาอย่างนี้นั้น ลำพังการพูดคุยอภิปรายกันในห้องประชุมอย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องสร้างความคุ้นเคยกันนอกห้องประชุมด้วย เพราะเป็นโอกาสที่จะได้จับเข่าคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ ได้แลกเปลี่ยนทัศนะกันอย่างตรงไปตรงมา

ความคิดเห็นนั้นจะเหมือนกันหรือแตกต่างกันไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันต่างหากที่มีความสำคัญที่สุด

เหตุผลบางอย่างมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถพูดได้หมดสิ้นในห้องประชุม แต่เราสามารถอาศัยเวลาว่างนอกห้องประชุมเติมเต็มความเข้าใจระหว่างกันในส่วนนี้ได้

หลังจากปฏิทินปีพุทธศักราช 2540 ผ่านพ้นไป ผมไม่มีโอกาสได้พบกับท่านนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน บ่อยครั้งนัก หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ ผมได้พบกับท่านแค่ในวงสมาคมที่เป็นทางการทั้งหลาย จึงมีโอกาสแต่เพียงได้ยกมือไหว้แสดงความเคารพท่านในฐานะเป็นผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น

จนเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง เดอะสแตนดาร์ดซึ่งเป็นสำนักข่าวของคนรุ่นใหม่ได้จัดกิจกรรมดินเนอร์ทอล์กขึ้น แขกรับเชิญพิเศษในงานคราวนี้คือคุณอานันท์ ผู้ซึ่งกรุณารับปากจะมาพูดให้แขกในงานฟัง งานนี้เจ้าภาพกรุณาเชิญผมไปรับประทานอาหารและฟังคุณอานันท์พูดด้วย

เมื่อไปถึงงานจึงพบว่า ผมได้รับโอกาสนั่งโต๊ะเดียวกับท่านผู้เป็นแขกพิเศษ

เด็ดยิ่งกว่านั้นคือได้นั่งติดกันกับท่านเลย

 

คํ่าวานนี้จึงเป็นการเข้าชั้นเรียนอีกครั้งหนึ่งของผม วิชาเรียนเมื่อคืนที่ผ่านมามีทั้งวิชาที่ท่านพูดกับคนทั่วไปทั้งงาน บางเรื่องท่านก็เล่าสู่กันฟังเฉพาะในโต๊ะอาหาร บางประโยคเป็นเรื่องที่ท่านพูดกับผมเป็นการเฉพาะตัว

ไม่น่าเชื่อว่าสุภาพบุรุษวัย 90 ปีแล้วจะสามารถคิดและพูดสื่อสารกับคนทั้งหลายได้อย่างมีแก่นสารน่าสนใจเป็นที่สุด

ประเด็นสำคัญประเด็นเดียวที่ผมขออนุญาตจดเล็กเชอร์จากหลายประเด็นที่ท่านพูดกับที่ประชุมเมื่อคืนนี้มาเล่าสู่กันฟัง คือประเด็นเรื่องความแตกต่างระหว่างวัย ซึ่งภาษาฝรั่งอาจจะเรียกว่า Generation gap

ท่านขยายความว่า อย่าไปนึกว่าความแตกต่างระหว่างวัยนี้เป็นเรื่องของอายุที่แตกต่างกันระหว่างคนอายุมากอายุน้อย ท่านเห็นว่าความแตกต่างที่สำคัญคือ ความเห็นที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์และความเห็นฝ่ายก้าวหน้า

ผู้สูงอายุบางคนอาจจะมีความคิดก้าวหน้าและก้าวทันโลก ในขณะที่ผู้อ่อนเยาว์บางคนอาจจะมีความคิดเชิงอนุรักษนิยมและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ดังนั้น คำว่าหัวก้าวหน้าจึงไม่ได้แปลว่าซ้ายหรือขวา แต่หมายถึงคนที่ก้าวทันโลก

ในทัศนะของท่านแล้ว คนที่ไม่ยอมรับว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด

อันที่จริงท่านคำว่า “น่าอนาถที่สุด” เสียด้วยซ้ำไป

 

ท่านเห็นว่า คนเป็นผู้ใหญ่ต้องรู้ว่าเวลาของเรายังมีอยู่หรือหมดลงแล้ว โดยท่านยกตัวอย่างตัวท่านเองว่า ครั้งหนึ่งท่านเป็นประธานกรรมการของธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งเป็นเวลานานถึงสิบปีเศษ แต่ต่อมาเมื่อโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น ท่านรู้สึกตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านไม่สมควรจะทำหน้าที่ประธานกรรมการต่อไป เพราะท่านฟังเขาพูดกันเริ่มเข้าใจยากเสียแล้ว ท่านจึงลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว

เท่าที่ผมจับความได้ ท่านบอกว่าเมืองไทยของเรามีข้อได้เปรียบคนอื่นอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของเราซึ่งอยู่ในใจกลางของเอเชียอาคเนย์ เราสามารถเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยว การค้า โลจิสติกส์ หรือแม้กระทั่งเป็นผู้มีบทบาทนำในทางการเมืองระหว่างประเทศได้ ขอแต่เพียงให้ผู้นำของเรามีความสามารถในการทำหน้าที่เท่านั้น

คนเป็นผู้นำประเทศ ต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่คือประชาชนหมู่มาก ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นสำคัญยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนรวม

สิ่งที่คนจำนวนมากต้องการไม่พ้นไปจากปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม การศึกษาที่มีคุณภาพ และระบบสาธารณสุขที่รองรับความต้องการของประชาชน

ประเทศจีนทำปัจจัยสี่ให้พร้อมมูลเสียก่อนแล้วจึงนึกถึงเรื่องอะไรต่อไป

แตกต่างจากประเทศที่ท่านออกชื่ออีกประเทศหนึ่ง ที่สนใจทำจรวดปรมาณูหรืออาวุธนำวิถีอะไรทำนองนั้นก่อนเรื่องปัจจัยสี่ของประชาชน

นอกจากการที่ผู้นำต้องเห็นประโยชน์ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว ผู้นำต้องมีความสามารถในการสื่อสาร สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ เห็นคล้อยตามได้ แต่ไม่ใช่การสั่งการ

เพราะประชาชนเป็นนายของผู้นำทางการเมือง ไม่ใช่ผู้นำทางการเมืองเป็นนายของประชาชน

การขับเคลื่อนเมืองไทยไปในวันข้างหน้า ต้องการการสร้างความเข้าใจระหว่างความคิดถึงที่หลากหลายซึ่งเป็นธรรมดาของสังคม ถ้าไม่พูดคุยกันแล้วจะรู้เรื่องกันได้อย่างไร

ผู้นำที่ดีต้องรู้ว่าหมดเวลาของตัวเองแล้วหรือยัง ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยที่จะบอกกับตัวเองว่าหมดเวลาของเราแล้ว

นี่คือสิ่งที่ผมจดจำได้จากถ้อยคำของอดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัยของเมืองไทยที่ท่านกล่าวกับที่ประชุมดินเนอร์ทอล์กเมื่อวานนี้

ยี่สิบห้าปีผ่านไป คุณภาพทั้งสติและปัญญาของท่านยังไม่แผ่วลงเลย

ผมก็จะก้มหน้าก้มตาเป็นนักเรียนที่พร้อมจะเรียนรู้จากท่านต่อไปครับ