หาร 100-สูตรพลิกการเมือง | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ถนนสายเลือกตั้งปลอดโปร่งโล่งสะดวกแล้ว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ผ่าน ทั้งกฎหมายลูกเกี่ยวกับพรรคการเมือง และกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่มีอะไรสะดุดล้มคว่ำ จนต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ อย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวล

โดยเฉพาะกฎหมายการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งลงเอย ใช้สูตรบัตร 2 ใบและการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ใช้แบบหาร 100 ไม่มีเปลี่ยนแปลง

อันเป็นประเด็นสำคัญ ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ไม่อยากให้เป็นไปตามนี้ ด้วยเกรงว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทย ยิ่งชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ได้ในที่สุด

แต่เพราะพรรคพลังประชารัฐ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มองว่า สูตรหาร 100 ก็เป็นประโยชน์กับพลังประชารัฐด้วย ดังนั้น ความพยายามจะคว่ำสูตรนี้จึงไม่สำเร็จ

แต่กว่าจะมาเป็นสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีแบบรายชื่อ โดยหาร 100 นี้ นับว่าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย พลิกไปพลิกมาหลายตลบ

มีความเคลื่อนไหวคัดค้านจากพรรคการเมืองขนาดเล็ก ต้องการหาร 500 เพื่อช่วยต่อชะตาชีวิตของพรรคจิ๋วทั้งหลาย

พรรคเล็กเหล่านี้ก็คือ ฐานอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอดช่วงสภาสมัยนี้

ทั้งฝ่ายขวาจัดทางการเมืองและพรรคเล็ก จุดประเด็น การชนะอย่างถล่มทลายของเพื่อไทย หากยังใช้หาร 100 เพื่อหวังจะให้กลุ่มอำนาจตัดสินใจล้มหาร 100 เพื่อไปใช้ 500

ขณะที่การแก้กฎกติกาเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความเละเทะเหมือนการเลือกตั้งปี 2562 ได้บทสรุปว่า ต้องใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และคำนวณปาร์ตี้ลิสต์โดยหาร 100 ลงตัวมาตั้งแต่ต้น

แต่ด้วยการผลักดันของพรรคเล็ก และเชื่อว่ารวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเป็นพรรคตั้งใหม่ ย่อมเสียเปรียบในสูตรหาร 100

ทำให้จู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งสัญญาณให้พลิกสูตรใหม่ เป็นหาร 500 แทนหาร 100 เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม

ท่ามกลางความงุนงงของแกนนำพรรคต่างๆ โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่เอาด้วยกับหาร 100

ทำให้รัฐสภามีมติใช้สูตรหาร 500 แทนหาร 100 หลังจากการอภิปรายกันดุเดือด ซึ่งแกนนำของพลังประชารัฐ ขั้วบิ๊กป้อม ลุกขึ้นอภิปรายยืนยันต้องใช้หาร 100

แต่ลงเอยรัฐสภามีมติให้ใช้หาร 500 ตรงตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ส่งซิก

ก่อนจะพลิกกลับ เมื่อพรรคเพื่อไทยและพลังประชารัฐ เห็นพ้องต้องกัน ใช้วิธีทำสภาล่มเพื่อให้สูตรหาร 500 ตกไป

ที่สำคัญมี ส.ว.กว่าครึ่ง ร่วมทำให้สภาล่มไปด้วย

นั่นแสดงว่าบารมีของ พล.อ.ประวิตร ผู้สนับสนุนหาร 100 ครอบคลุมถึง ส.ว.กว่าครึ่งสภาเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันปรากฏการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร เริ่มเดินกันคนละทาง

ทั้งเกิดข้อสังเกตว่า การสั่งให้พลิกไปใช้หาร 500 ของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น

อาจตัดสินใจตั้งแต่ตอนกรกฎาคมแล้วว่า จะย้ายไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ!

รวมไทยสร้างชาติ

เมื่อสุดท้ายพรรคเล็กยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ขัดกับรัฐธรรมนูญ เป็นการดิ้นรนอีกเฮือกเพื่อให้กลับไปหาร 500 และศาลชี้ว่าไม่ขัด ทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปใช้สูตรหาร 100 ไม่เปลี่ยนแปลง

ประเด็นหาร 100 และหาร 500 นี้แหละ เมื่อย้อนกลับไปดูความวุ่นวายอลหม่าน ก็ทำให้ได้เห็นร่องรอยความต่างของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ชัดเจน

เพราะ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่าสูตรหาร 100 ทำให้พลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคใหญ่ได้เปรียบแน่ๆ

แต่ตอนที่รัฐสภามีมติพลิกไปใช้หาร 500 นั้น มาจาก พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง

ไปๆ มาๆ ด้วยการร่วมมือกันในฐานะแนวร่วมของเพื่อไทยและพลังประชารัฐ ทำให้พลิกกลับมาใช้หาร 100 ได้สำเร็จ จนสุดท้ายผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญมาได้เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น นอกจากทำให้เห็นรอยร้าวของ 2ป.ในประเด็นสูตรปาร์ตี้ลิสต์นี้แล้ว ยังทำให้เห็นด้วยว่า การย้ายพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะตัดสินใจเพราะไม่สามารถเดินร่วมทางกันได้กับพลังประชารัฐ

กระแส 2 ป.แยกกันเดิน เพื่อรวมกันตีในภายหลัง จึงไม่น่าจะเป็นจริง

พล.อ.ประยุทธ์กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีท่าทีแนบแน่นตั้งแต่ตอนสั่งพลิกเป็นหาร 500 คงเดินไปทางหนึ่ง ส่วนพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตรเป็นหลัก ก็คงไปอีกทางหนึ่ง

ขณะที่มุ้งบางมุ้งที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ คงแตกออกจากพลังประชารัฐ เพื่อไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ

แต่กลุ่มก้อนที่อยู่แวดล้อม พล.อ.ประวิตร ก็ยังเหนียวแน่นอยู่กับพลังประชารัฐ และเชื่อว่า กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คงได้โอกาสกลับพลังประชารัฐ และอาจมีนักการเมืองดังๆ ย้ายเข้ามาร่วม หลังจากที่ชัดเจนว่าพรรคนี้ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์แล้วแน่นอน

คงแตกออกไปส่วนหนึ่ง และคงไหลเข้าพลังประชารัฐอีกส่วนหนึ่ง

แถมเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไปสังกัดพรรคขวาจัดชัดเจนแล้ว ทำให้ภาพของพลังประชารัฐดูเป็นกลางมากขึ้น

หลังเลือกตั้งหากจะร่วมมือกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย เริ่มมีแนวโน้มเป็นไปได้มากขึ้น

ข่าวการจับมือจับขั้วใหม่หลังเลือกตั้งครั้งต่อไป ยังคงเป็นแค่กระแสข่าว แต่ข้อเท็จจริงเชื่อว่า การเจรจาจับมือต่างๆ ต้องรอหลังการเลือกตั้ง ให้รู้เสียก่อนว่าใครชนะมากน้อยแค่ไหน อันหมายถึงจะได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร ในการพูดคุยเจรจาจับขั้วการเมือง

ที่สำคัญโดยกระแสทางการเมือง กระแสความต้องการในหมู่ประชาชน หลังจากทนทุกข์กับการเมืองแบบล้าหลัง โดยกลุ่มอดีตผู้นำทหาร ทำให้มีโอกาสสูงที่ พรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะท่วมท้น เพราะความเชื่อมั่นในฝีมือการพลิกเศรษฐกิจ

ยิ่งเมื่อถึงเวลาเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ มีชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นเบอร์ 1 คงยิ่งสอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้าน ที่ประสบปัญหาปากท้องรุนแรงมาหลายปี

เพราะความสำเร็จในการบริหารธุรกิจเครือแสนสิริ และความคิดทางสังคมการเมืองที่แหลมคม ทำให้นายเศรษฐา จะเป็นที่ตอบรับของชาวบ้านอย่างกว้างขวาง

ยิ่งเมื่อสูตรการเลือกตั้ง ใช้บัตร 2 ใบ ปาร์ตี้ลิสต์หาร 100 ก็ยิ่งเข้าทางเพื่อไทยอีก

ขณะที่ขั้วตรงข้ามคือ กลุ่มอำนาจ 3 ป. มาถึงจุดที่แยกกันเดิน โดย พล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่พรรคใหม่รวมไทยสร้างชาติ เครือข่ายม็อบ กปปส.

เอาเข้าจริงๆ ไม่มีเซียนการเมืองคนไหน ที่เชื่อว่าพรรคนี้จะไปได้ดี

วันนี้ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์แรงเฉพาะภาคใต้เท่านั้น แต่ไม่ใช่ภาคอื่น ขณะที่ ส.ส.ภาคใต้มี 58 ที่นั่ง จะแย่งชิงจากพรรคเก่าแก่ประชาธิปัตย์ กับพรรคเงินหนามาแรงอย่างภูมิใจไทย ได้สักเท่าไหร่!?

การจะอาศัยเสียง 250 ส.ว.มาเป็นจุดขาย ว่า พล.อ.ประยุทธ์นอนมาในฐานะนายกฯ แน่นอน ได้ตั้งรัฐบาลแน่นอน ก็ยากเสียแล้ว

เมื่อแยกกันกับบิ๊กป้อม ก็หมายถึง ส.ว.ครึ่งสภา ไม่ได้เป็นเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์อีกแล้ว

ตอนคว่ำสูตรหาร 500 ที่ พล.อ.ประยุทธ์สนับสนุน ก็มีเสียง ส.ว.กว่าครึ่งที่ร่วมทำสภาล่ม ตามสัญญาณของบิ๊กป้อม

เส้นทางของ พล.อ.ประยุทธ์ ในพรรคใหม่ จึงดูไม่สดใสเอาเสียเลย!!