อัศเจรีย์สีแดง ความท้าทายของ “สี จิ้นผิง”

ระลอกคลื่นของการชุมนุมประท้วงที่ลุกลามออกไปในหลายเมืองสำคัญๆ และมหาวิทยาลัยหลายแห่งของจีนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

การชุมนุมประท้วง เคยเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งในจีนก็จริง แต่เกือบทั้งหมดล้วนจำกัดอยู่แต่ในแต่ละท้องถิ่น ทั้งประเด็นและขนาดของการประท้วง แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้

แต่การประท้วงในจีนในครั้งนี้ถือเป็นการแสดงการท้าทายโดยตรงต่อรัฐบาลผู้บริหารประเทศ ทั้งยังลุกลามขยายวงออกไปเรื่อยๆ เพื่อแสดงออกถึงการดื้อแพ่งในระดับและขอบเขตที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อนนับตั้งแต่เกิดขบวนการเทียนอันเหมินขึ้น เมื่อปี 1989 เป็นต้นมา

คลิปวิดีโอของการชุมนุมที่เซี่ยงไฮ้ แสดงให้เห็นผู้นำการชุมนุมตะโกนสุดเสียง “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” ได้รับการตอบรับด้วยเสียงตะโกนพร้อมกันของผู้ชุมนุมว่า “ออกไป” ต่อด้วย “สี จิ้นผิง” แล้วมีเสียงตอบรับ “ออกไป” พร้อมๆ กันดังสนั่น

ที่มหาวิทยาลัยซิงหัว ในกรุงปักกิ่ง สถาบันการศึกษาระดับสุดยอดของประเทศที่มีคนอย่างสี จิ้นผิง เป็นศิษย์เก่า กลุ่มนักศึกษาจับกลุ่มกัน มือถือกระดาษว่างเปล่า หรือไม่ก็มีเพียงเครื่องหมายอัศเจรีย์หรือเครื่องหมายตกใจสีแดงประดับอยู่ อันเป็นสัญลักษณ์ถึงการเซ็นเซอร์บนโลกออนไลน์และการถูกจำกัดการแสดงออก คนเหล่านี้เรียกร้องหา “ประชาธิปไตยและระบอบนิติรัฐ”

ส่วนที่มหาวิทยาลัยเฉิงตู ในนครเฉิงตู เมืองใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน นักศึกษาและประชาชนที่รวมตัวกันขึ้น พากันตะโกนพร้อมกันเป็นระยะๆ ว่า “เราต้องการเสรีภาพ”

ผู้ชุมนุมหลายร้อยคนเดินขบวนประท้วงมาตรการโควิด-19 ในนครอุรุมชี (รอยเตอร์)

ภาพเหล่านี้อาจถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหลือเกินในประเทศประชาธิปไตยชาติใดชาติหนึ่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นด้วยวิธีการทำนองนี้โดยเสรี และถือเป็นเรื่องชอบด้วยกฎหมาย แต่ในประเทศอย่างจีน ซึ่งการแสดงอาการคัดค้านและพื้นที่ในการแสดงความเห็นที่ไม่ลงรอยกับรัฐมีจำกัดอย่างยิ่ง ทั้งยังจำกัดจำเขี่ยมากยิ่งขึ้นไปอีกในยุคที่จีนอยู่ภายใต้การปกครองของสี จิ้นผิง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กรณีนี้ถือว่าน่าทึ่ง น่าแปลกใจอย่างยิ่งยวด

ชนวนเหตุที่ก่อให้เกิดระลอกของการประท้วงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายเมืองในจีนครั้งนี้คือเหตุการณ์ไฟไหม้อพาร์ตเมนต์ที่พักอาศัยแห่งหนึ่งในเมืองอูรุมฉี เมืองเอกของมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกของประเทศ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 10 ราย

แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจระบาดออกไปทั่วประเทศก็คือ ภาพที่แพร่สะพัดไปทั่วโลกออนไลน์ที่แสดงให้เห็นว่า ทางออกของตัวอาคารดังกล่าวถูกปิดกั้นด้วยลวดหนามสูงท่วมหัว อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการห้ามออกจากเคหสถานในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอูรุมฉีแถลงตอบโต้ในวันต่อมาระบุว่าภาพลวดหนามดังกล่าวถูกปลอมแปลงขึ้น และดังนั้น จึงไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำให้คนทั้งสิบต้องเสียชีวิต

แต่ชาวจีนนับล้านที่กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกันจากเจ้าหน้าที่ควบคุมในชุดป้องกันเชื้อเต็มรูปแบบ ต้องเผชิญกับลวดหนามแบบเดียวกันกลับไม่คิดเช่นนั้น

กลุ่มนักศึกษาประชาชนในเซี่ยงไฮ้ เริ่มต้นการชุมนุมเป็นที่แรกด้วยการจัดพิธีจุดเทียนไว้อาลัยให้กับเหยื่อที่อูรุมฉีขึ้นที่ถนนสายหนึ่งในเมืองซึ่งตั้งชื่อตามชื่อเมืองเอกของมณฑลซินเจียงแห่งนั้น

การประท้วงของชาวจีนในเกาหลี

ประเด็นที่ชวนคิดก็คือ หากปราศจากเหตุการณ์ไฟไหม้ดังกล่าว การชุมนุมเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านนโยบายรัฐบาลโดยตรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่

คำตอบของคำถามนี้คงยากที่จะบอกได้ กระนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลเองก็รับรู้ถึงความไม่พอใจและความตึงเครียดที่ประชาชนจีนมีต่อนโยบาย “ซีโร่โควิด” ของทางการดี ถึงขนาดออกประกาศคำสั่งใหม่เมื่อต้นเดือนนี้ แจกแจงแนวทางดำเนินการใหม่ 20 ประการ เพื่อผ่อนคลายและลดผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนที่เกิดการแพร่ระบาดลง ก็สะท้อนให้เห็นว่า อาการเดือดพล่านจากความไม่พอใจของชาวจีนภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวด กำลังจะถึงจุดระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยังไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งใหม่ได้ หรือไม่กำลังเพียงพอที่จะอำนวยให้คำสั่งใหม่มีผลในทางปฏิบัติ หรืออาจเป็นเพราะมาตรการใหม่ช้าไปบ้างหรือน้อยเกินไปบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาแสดงให้เห็นว่า มาตรการเหล่านั้นไม่สอดคล้องและเป็นไปตามความคาดหวังของประชาชน

ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหนึ่งของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ควบคุมทุกอย่างทุกย่างก้าวของผู้ใต้ปกครอง แล้วพยายามจะผ่อนปรนการควบคุมดังกล่าว อุปมาเหมือนปล่อยให้เขื่อนขนาดใหญ่เกิดรอยปริร้าว แรงดันสั่งสมขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์ที่ได้อาจร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง

สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้ก็คือ การปรับแก้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ และยอมรับต่อการผ่อนคลายการควบคุมดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิดอารมณ์ครั้งใหญ่ขึ้นตามมา การปล่อยให้การชุมนุมประท้วงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เป็นผลดีแน่นอน ยิ่งนานไปการประท้วงจะยิ่งลุกลาม และยิ่งพุ่งเป้าเข้าหารัฐบาลและสี จิ้นผิง อย่างเปิดเผยมากขึ้นเท่านั้น แต่การปราบปรามด้วยกำลังอย่างรุนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ของประเทศอยู่แล้วอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน จะยิ่งทำให้ความรู้สึกของนักลงทุนต่อจีนเลวร้ายมากยิ่งขึ้น และจะทำให้สถานการณ์วนเป็นวงกลับไปกลับมาระหว่างการปราบปรามกับการลุกฮือขึ้นต่อต้าน

หากมองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาภายใต้การกุมอำนาจของสี จิ้นผิง เหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์ในเวลานี้มากที่สุด เห็นจะเป็นกรณีการลุกฮือบนเกาะฮ่องกง แม้ว่าบรรยากาศบนจีนแผ่นดินใหญ่ในเวลานี้ ไม่อาจเทียบเคียงได้กับบรรยากาศในฮ่องกงในเวลานั้น หรือไม่สามารถเทียบได้แม้กระทั่งบรรยากาศทางการเมืองเมื่อครั้งเกิดขบวนการเทียนอันเหมินขึ้นก็ตาม

ครั้งหนึ่ง เหมา เจ๋อตุง เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ประกายไฟสามารถไหม้ลามทุ่งได้” และพรรคคอมมิวนิสต์จีนย่อมตระหนักในเรื่องนี้ดีกว่าใครอื่นทั้งหมด

น่าจับตาอย่างยิ่งว่า สี จิ้นผิง จะดับ “ประกายไฟ” ครั้งนี้ได้อย่างไร