เปิดปมเด้งผู้การชลบุรี ตั้ง กก.สอบ-ฟัน ม.157 โยงเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา คดีบุกทวงหนี้พูลวิลล่า

พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี

กลายเป็นเรื่องราวที่ท้าทายวงการสีกากีเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ที่มีหลากหลายเรื่องราวมาพัวพัน จนทำให้ภาพลักษณ์องค์กรถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาชญากรรมต่างๆ ที่มากยิ่งขึ้น จนตามจับตามไล่กันไม่ทัน ปัญหาเรื่องสถานบริการ ผับ บาร์ หรือกระทั่งบ่อนการพนันที่ระบุว่าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

เรื่องทุนจีนสีเทาที่เข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานประกอบกิจการอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แถมส่วนใหญ่เป็นธุรกิจสีเทา จนเกิดข้อสงสัยการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปล่อยปละละเลยให้ทำได้ง่ายดาย

ยังไม่รวมเรื่องของการวางตัวของเจ้าหน้าที่บางคน ที่ทำให้ภาพลักษณ์องค์กรเสื่อมเสีย

อย่างกรณีล่าสุดก็เกิดเรื่องที่น่าตกตะลึง เมื่อพบว่ามีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปพัวพันเกี่ยวข้องกับขบวนการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา

แลกกับสินบนนับล้านบาท!!!

เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ!!

ทวงหนี้พูลวิลล่า

บิ๊ก ตร.เปลี่ยนตัวผู้ต้องหา

เหตุการณ์เป็นเรื่องอื้อฉาวนี้มีที่มาตั้งแต่วันที่ 18 ตลาคมที่ผ่านมา เมื่อ ตร.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์ 6 คนก่อเหตุอุกอาจ ใช้ปืนบุกเข้าพูลวิลล่า ริมถนนจอมเทียนสายสอง ม.12 เมืองพัทยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

เมื่อเจ้าหน้าที่รุดตรวจที่เกิดเหตุเป็นพูลวิลล่าขนาดใหญ่ มีห้องพักประมาณ 20 ห้อง มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 5 ราย ถูกปืนทุบเข้าที่ศีรษะแตก เลือดไหลอาบใบหน้า พบคราบเลือดสาดกระเซ็นติดอยู่ตามพื้นและผนังห้อง กลุ่มผู้บาดเจ็บอยู่ในอาการหวาดผวา

นอกจากนี้ ยังพบรถเก๋งฮอนด้าแจ๊ส 3 คันถูกยิงที่ยางแตก ใกล้เคียงพบปลอกกระสุนขนาด 9 ม.ม.ตกอยู่ 3 ปลอก หัวกระสุน 1 หัว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบถามพยานทราบว่าช่วงเช้าประมาณ 07.00 น. มีผู้ชายเข้ามาสอบถามหาห้องพัก จากนั้นมีรถหรูโตโยต้าอัลพาร์ด มีกลุ่มคนร้ายเป็นชายประมาณ 5-6 คน มีอาวุธปืนครบมือ ขับเข้ามาที่ลานจอดรถ แล้วชักปืนยิงยางล้อรถทั้ง 3 คัน ก่อนเอารูปชายคนหนึ่งเข้ามาถามหา ซึ่งทุกคนบอกว่าไม่เคยรู้จัก

แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ไม่เชื่อ ไล่เคาะตามห้องพัก สุดท้ายไม่เจอ ด้วยความโมโหจึงใช้ปืนทุบหัวเพื่อนจนแตก ยึดบัตรประชาชนไป 3 คน ขู่ว่าหากแจ้งความจะตามไปฆ่าทิ้งทั้งครอบครัว ไม่กลัวตำรวจหน้าไหนทั้งนั้น เพราะเคลียร์ได้หมด ก่อนขึ้นรถหลบหนีไป

เป็นการลงมือที่อุกอาจอย่างมาก!!!

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิทยุสกัดจับ พร้อมเช็กวงจรปิด ไม่นานก็ได้ตัวเมื่อนายจิรโรจน์ วัฒนะ อายุ 29 พร้อมนายบุญฤทธิ์ จิตรมา อายุ 24 ปี และนายสราลัญ ยอดทัด อายุ 23 ปี และพวกอีก 2 เข้ามอบตัว พร้อมอ้างว่าเป็นการลงมือเพราะเกิดการท้าทายระหว่างกลุ่มผ่านเฟซบุ๊ก

ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเข้าเมือง จ.เชียงราย ควบคุมผู้ต้องหา 3 คน ประกอบด้วยนายจักรกฤษณ์ พิลาวรรณ อายุ 37 ปี นายปวุฒิ ช่องสระ อายุ 26 ปี และนายจิรวัฒน์ เย้ท่าพูด อายุ 26 ปี ได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ขณะเตรียมหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน

สอบสวนจึงทราบว่าเป็นผู้ก่อร่วมแก๊งที่พลูวิลล่าพัทยา แถมไม่ใช่เรื่องบาดหมางท้าทายกันทางเฟซบุ๊ก แต่เคยมีเรื่องพิพาทกันมาก่อนแล้ว โดยเป็นการติดตามทวงหนี้กันในพื้นที่ชะอำ เมื่อคืนวันที่ 17 ตุลาคม ก่อนตามมาก่อเหตุที่พัทยา

นอกจากนี้ จากการสอบสวนพบว่า นายบุญฤทธิ์และนายสราลัญที่เข้ามอบตัวชุดแรก ไม่ได้ร่วมก่อเหตุ แต่ได้ค่าจ้างวันละ 1 พันบาท เพื่อมาเป็นผู้ต้องหาแทน

เรื่องราวจึงเริ่มบานปลาย!!!

บิ๊กโจ๊กแถลง

ฟันผู้การชลฯ ผิด ม.157

ในที่สุดก็คลี่คลาย เมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ลงไปกวดขันคดีนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งหลังจากสอบสวนทั้งหมด ก็แถลงข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ระบุว่า จากกรณีการบุกทวงหนี้ที่พูลวิลล่าพัทยา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พบว่ามีสาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์จากเว็บพนัน

ซึ่งพบว่าคนกลุ่มคนที่พักอยู่ที่พูลวิลล่าวันเกิดเหตุ มีคนที่ทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีให้ผู้ก่อเหตุ แต่ต่อมาหักหลังกันและเชิดเงินหนีไป จนกระทั่งถูกบุกไปทวงคืน ล่าสุดจับกุมผู้ก่อเหตุได้ครบทั้ง 6 รายแล้ว แต่ระหว่างสืบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุวางแผนหลอกลวงชุดจับกุม โดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ สลับเอาคนอื่นมามอบตัวแทนผู้ก่อเหตุตัวจริง

โดยพบว่าขบวนการสลับตัวผู้ต้องหา คือนายอรรถวุฒิ ธินามธรรม และนายเอกพล เอี่ยมวิสูตร ได้ว่าจ้างติดต่อนายบุญฤทธิ์และนายสราลัญมารับจ้างมอบตัวแทนผู้ก่อเหตุจริง จึงแจ้งข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และช่วยผู้อื่นที่เป็นผู้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษ โดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม

ส่งสำนวนให้อัยการส่งฟ้องศาลแขวงชลบุรี ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 โดยมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่ 1 ปี แต่ให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ขณะที่ทั้งหมดยื่นประกันวงเงินคนละ 5 หมื่นบาทเพื่อสู้ชั้นอุทธรณ์

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการซัดทอดถึง พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ว่าร่วมกันวางแผนเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา และเรียกรับเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินคดีในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวน ช่วยเหลือไม่ให้คนต้องรับโทษ หรือรับโทษลดลง

ขณะที่ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และให้ พ.ต.อ.กรวัฒน์มาประจำที่ ศปก.ภ.2 เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างยุติธรรมต่อทุกฝ่าย

และดูท่าจะไม่จบแค่รองผู้การ เมื่อการสอบสวนขยายผลพบว่ามีใหญ่กว่านั้น!!!

โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เปิดเผยอีกครั้งว่า หลังจากที่ภูธรภาค 2 ตั้งกรรมการสอบ และเรียก พล.ต.ต. กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.ชลบุรี มารับทราบข้อกล่าวหาด้วย เพราะพบพฤติการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงในเรื่องการสอบสวน กำกับสั่งการให้ลูกน้องให้การอย่างหนึ่งอย่างใดขณะมีการสอบสวน นอกจากนี้ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ยังยืนยันว่ารายงานเรื่องให้ผู้การทราบแล้ว ซึ่งเป็นความเชื่อมโยงทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ไม่พบข้อมูลการเรียกรับผลประโยชน์ แต่ก็ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงิน และแจ้งข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ผู้การตำรวจกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง!!!

พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน

ผบ.ตร.เด้งด่วน-สอบโยงทุนจีน

ไม่เพียงแค่นั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่ง ตร.ที่ 543/2565 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน เรื่อง ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ ระบุว่าตำรวจภูธรภาค 2 รายงานเหตุกรณี พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.ชลบุรี มีเหตุเป็นที่สงสัยว่าประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่และกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน หรืออาจยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการได้

เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและให้การดำเนินการของตำรวจภูธรภาค 2 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 179 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2563

จึงให้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ พล.ต.ต.กิตต์ธเนศ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 49 เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผกก.สส.บก.น.9 รอง ผบก.ภ.จว.ตรัง รอง ผบก.น.2 ระหว่างนี้เคยช่วยราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ก่อนขยับติดยศ พล.ต.ต.ในตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา

และตกเป็นผู้ถูกอ้างชื่อจากผู้บริหารคลับวัน ผับดังพัทยา ในขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบุกทลายเมื่อคืนวันที่ 23 ตุลาคม พบเปิดเกินเวลา และสุ่มตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยว แต่ถูกผู้บริหารโวยวายว่าดูแลเรียบร้อยทั้งผู้ว่าฯ และผู้การจังหวัด

ต่อมาได้เปิดแถลงขอโทษ อ้างว่าที่อ้างชื่อไปนั้นเป็นเพราะเมาไวน์ แต่ต่อมากลับพบว่าคลับวันแห่งนี้เป็น 1 ในธุรกิจของทุนจีนสีเทา

ซึ่งคงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป

แต่ที่แน่ๆ คือ หากไม่กวาดล้างองค์กรให้หมดข้อครหา ก็ยากที่จะได้ความเชื่อมั่นจากประชาชน!!!