หลังเอเปคเช็กบิลรัฐบาล | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ไม่ใช่ความลับว่าการประชุมเอเปคครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จในความรู้สึกของคนไทยเมื่อเทียบกับการประชุมเอเปคปี 2546 สมัยคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนการประชุมเอเปคปี 2535 สมัยคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ นั้นไกลไปจนไม่มีใครจำได้ รวมทั้งแทบไม่มีใครพูดถึงเอเปคยุคนั้นเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “กองแช่ง” โจมตีการประชุมเอเปคครั้งนี้ราวกับทุกอย่างล้มเหลวหมด

มิหนำซ้ำคนบางกลุ่มยังโจมตีแบบนี้ตั้งแต่การประชุมยังไม่เริ่มด้วยท่าทีเหมือนการประชุมจบสิ้นแล้ว

ขณะที่ปฏิกิริยาสื่อต่างประเทศต่อการประชุมครั้งนี้กลับยังไม่มีน้ำเสียงเชิงลบเท่ากองแช่งในประเทศเอง

แน่นอนว่าโดยส่วนใหญ่ของ “กองแช่ง” คือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลซึ่งอาจมีทั้งคนที่เห็นว่าการประชุมเอเปคนี้มีปัญหาจริงๆ กับคนที่ฉวยโอกาสด่ารัฐบาลเพื่ออวยพรรคตัวเอง

แต่การที่เสียงของ “กองแช่ง” มีคนฟังก็สะท้อนว่าความยอมรับที่คนมีต่อรัฐบาลต่ำจนประชาชนพร้อมฟังทุกฝ่ายที่ด่ารัฐบาล

ไม่ค่อยมีใครพูดชัดๆ ว่าอะไรคือเกณฑ์วัดความสำเร็จของเอเปคในไทย บางคนพูดว่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ล้มเหลวเมื่อเทียบกับคุณทักษิณที่จัดพิธีเปิดระดับปิดแม่น้ำเจ้าพระยาโชว์ขบวนเรือพยุหยตราและเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ตอนกลางคืน แต่คำถามคือเราควรวัดความสำเร็จจากพิธีเปิดหรืออย่างไร?

บางคนบอกว่าเอเปคครั้งนี้ล้มเหลวเพราะคนไทยไม่รู้เรื่องการประชุมครั้งนี้เลย แต่ถ้าวัดความสำเร็จของงานด้วยเกณฑ์นี้จริงๆ การประชุมระดับโลกในทุกประเทศคงล้มเหลวหมด เพราะคนกัมพูชาคงไม่รู้เรื่องการประชุมอาเซียนที่ผ่านไป ส่วนคนอินโดนีเซียคงไม่รู้เรื่องการประชุม G20 ด้วยเช่นกัน

หัวใจของเอเปคคือการกระตุ้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเอเชีย-แปซิฟิก ประเด็นเรื่องคนไทยจะได้อะไรจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ในการประชุมครั้งนี้ที่สุด เพราะหากเอาเรื่องนี้เป็นที่ตั้ง สิ่งที่เราจะได้ตรงๆ ก็คือการประชาสัมพันธ์ประเทศและการกระตุ้นธุรกิจที่เกี่ยวกับการประชุมเท่านั้นเอง

แม้รัฐบาลประยุทธ์จะชูประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG ซึ่งประกอบด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ, เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว แต่คุณประยุทธ์คือผู้นำที่ทั้งโลกไม่เชื่อมั่นเรื่องวิสัยทัศน์น้อย คำพูดที่มาจากคุณประยุทธ์จึงมีน้ำหนักเท่านกแก้วที่พูดตามสคริปต์โดยไม่รู้เรื่องอะไร

พูดตรงๆ ประเด็น BCG มาจากการผลักดันของคุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี 2562 แต่เมื่อคุณสุวิทย์ออกจากรัฐบาลไปพร้อมคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และพวกในเดือนกรกฎาคม 2563 คนที่ตามเรื่องนี้จริงๆ ในรัฐบาลก็ไม่มี จนคำพูดคุณประยุทธ์เรื่องนี้ไม่มีน้ำหนักเลย

 

สําหรับคนไทยและรัฐบาลไทย เอเปคคือการประชุมระดับโลกที่ไทยควรได้โอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่น การเจรจาระดับทวิภาคีระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ จึงเป็นภารกิจที่รัฐบาลประยุทธ์ต้องทำให้เกิดโดยมีผลลัพธ์เป็นข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมจริงๆ

อย่างไรก็ดี ด้วยคนแบบคุณประยุทธ์และผลงานที่คุณประยุทธ์กระทำย่ำยีกับประเทศมากว่า 8 ปี คนแบบนี้ถูกมองว่าแทบไม่มีทางมีปัญญาทำให้ประเทศไทยได้อะไรจากการประชุมเอเปคครั้งนี้เลย

เอเปคคือเวทีที่รัฐบาลจะได้พบปะกับตัวแทนประเทศแถวหน้าของโลกอย่างสหรัฐ, จีน และรัสเซีย แต่ถึงแม้สหรัฐจะผลักดันให้เกิดเอเปคจนเอเปคถูกโจมตีว่าเป็นเวทีเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สหรัฐเป็นผู้นำ

การที่ประธานาธิบดีไบเดนไม่มาไทยก็ทำให้ไทยเสียโอกาสในการเจรจาพอสมควร

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

ต้องระบุว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐไม่มาประชุมเอเปคด้วยตัวเอง เพราะทรัมป์เคยส่งรองประธานาธิบดีเพนซ์ไปเอเปคแทนในปี 2561 ซึ่งเท่ากับประมุขสหรัฐไม่มาเอเปคเป็นครั้งที่สอง นั่นหมายความว่าเอเปคอาจไม่ใช่เวทียุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อสหรัฐมากเท่าในอดีตอีกต่อไป

อย่างไรก็ดี สหรัฐจะเป็นประธานการประชุมเอเปคในปี 2566 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สหรัฐกลับมาเป็นประธานอีกครั้งหลังจากรับบทบาทนี้ในปี 2554

การที่ผู้นำสูงสุดของสหรัฐไม่มาประชุมในไทยด้วยตัวเองในปี 2565 จึงน่าจะมีสาเหตุอื่นที่มากกว่าความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของเอเปคที่เปลี่ยนไป

การประชุมเอเปคครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามยูเครนซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในโลกต่อต้านรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้นสหประชาชาติเองก็เพิ่งลงมติประณามรัสเซียกรณียึดครองยูเครนอีก 4 พื้นที่ แต่ไทยกลับเป็น 1 ใน 3 ประเทศสมาชิกเอเปคที่ร่วมมือกับจีนและเวียดนามในการไม่ประณามรัสเซีย

คนทั้งโลกรู้อยู่แล้วว่าคุณประยุทธ์ยึดอำนาจปี 2557 จนทำให้ประเทศไทยเลือกอยู่ข้างจีนและรัสเซียมากกว่าโลกเสรีประชาธิปไตย

และด้วยการที่คุณประยุทธ์รวมหัวกับจีนในการสนับสนุนรัสเซียให้ทำสงครามรุกรานยูเครน โอกาสที่ไทยจะเจรจากับสหรัฐจนได้อะไรจากเอเปคจึงยากเป็นทวีคูณ

ในกรณีสหรัฐ สิ่งดีที่สุดที่ไทยอาจจะคาดหวังได้คือการจรรโลงให้ความสัมพันธ์ของไทยกับสหรัฐไม่ตกต่ำจากนโยบายเอาใจจีนและรัสเซียของคุณประยุทธ์

สื่อสหรัฐจึงไม่สนใจการประชุมเอเปคครั้งนี้มากนัก ยกเว้นเรื่องเดียวคือการหารือระหว่างรองประธานาธิบดีสหรัฐกับประธานาธิบดีจีน

สําหรับจีนและรัสเซียซึ่งเผด็จการไทยเลือกข้างจนเกียรติภูมิประเทศย่อยยับหลังปี 2557 สิ่งที่รัฐบาลไทยมีสิทธิคาดหวังเป็นการตอบแทนย่อมได้แก่ การเจรจาให้สองประเทศเพิ่มปริมาณการค้าขายกับไทย รวมทั้งการเจรจาให้ทั้งสองประเทศเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย

ในกรณีของจีน หัวใจสำคัญของการเจรจาอยู่ที่การหารือบนโต๊ะอาหารค่ำซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งจีนเองก็ต้องการให้อาเซียนขยายเขตการค้าให้ครอบคลุมสิ่งที่เรียกว่า “ข้อตกลงการค้าเสรีเวอร์ชั่น 3.0” เพื่อพัฒนาห่วงโซ่การผลิตแข่งกับสหรัฐที่พูดเรื่องคล้ายกันกับ 14 ประเทศ (IPEF)

ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่าเอเปคจะเป็นช่วงเวลาที่ไทยเจรจาทวิภาคีกับจีน, ญี่ปุ่น และซาอุฯ ขั้นลงนามข้อตกลงร่วมและบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เรื่องพลังงาน, การท่องเที่ยว, โครงสร้างพื้นฐาน, เศรษฐกิจชีวภาพ ฯลฯ

ซึ่งน่าจะตอบคำถามเรื่องคนไทยได้อะไรได้พอสมควร

(Photo by Diego Azubel / POOL / AFP)

เป็นความจริงว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยเกลียดคุณประยุทธ์จนเกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และในเงื่อนไขที่รัฐบาลล้มเหลวในการสื่อสารกับประชาชน คนจำนวนมากจึงมีทัศนคติที่เป็นลบกับการประชุมเอเปคถึงจุดที่มองว่าคนไทยไม่เกี่ยวและไม่ได้อะไรจากการประชุมครั้งนี้เลย

ไม่ใช่ความลับว่าคุณประยุทธ์ต้องการใช้ที่ประชุมเอเปคสร้างภาพความเป็นผู้นำระดับอินเตอร์ โลกของคุณประยุทธ์คือโลกซึ่งเอเปคประสบความสำเร็จจนชื่อเสียงคุณประยุทธ์กึกก้องทั้งประเทศ แต่ความเป็นจริงของประเทศในเวลานี้ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นอย่างที่คุณประยุทธ์คิดแม้แต่นิดเดียว

ไม่ว่าผลเจรจาระดับทวิภาคีของไทยกับประเทศอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่คนไทยเป็นลบกับคุณประยุทธ์จนไม่ขานรับการประชุมคือข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันปฏิเสธได้

แผนการของคุณประยุทธ์ในการใช้เอเปคสร้างคะแนนนิยมจะประสบความล้มเหลวจนคุณประยุทธ์ไม่ได้อะไรในแง่การเมือง

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

สําหรับคนไทยที่ไม่ชอบรัฐบาล ข่าวดีคือเอเปคครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งอวสานของคุณประยุทธ์ เพราะนอกจากกระแสสังคมจะไม่ขานรับการประชุมจนคุณประยุทธ์ไม่มีโอกาสเก็บแต้มอย่างที่คาด คุณประยุทธ์ยังไม่เหลือข้ออ้างในการเป็นนายกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 8 ปีต่อไป

หลังเอเปคคือช่วงเวลาที่สภาต้องพิจารณากฎหมายกัญชา และเมื่อคำนึงถึงมติพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ ส.ส.ฟรีโหวต โอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้านคว่ำกฎหมายนี้คาสภาจึงมีสูงมาก และภูมิใจไทยไม่มีทางยอมให้กฎหมายนี้ถูกคว่ำโดยไม่ตอบโต้อะไรเลยอย่างแน่นอน

โดยปกติพรรคการเมืองอาจยอมกลืนเลือดเพื่อหวังผลประโยชน์ด้านหาเสียงและงบประมาณ แต่ในเงื่อนไขที่สภาผ่านกฎหมายงบประมาณไปหมดแล้ว คงไม่มีพรรคการเมืองไหนยอมถูกพรรคร่วมตบหน้ากลางสภาขนาดนี้

รัฐบาลชุดนี้จึงมีแววอวสานเร็วเกินคาดในทันทีที่การประชุมเอเปคจบลง

อีกไม่นานจะถึงเวลาที่ประชาชนเช็กบิลรัฐบาล