ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ทะลุกรอบ |
ผู้เขียน | ดร. ป๋วย อุ่นใจ |
เผยแพร่ |
“บอกอำลา 1.5 องศาเซลเซียส (Say Goodbye to 1.5 C)”
พาดหัวตัวเป้งบนหน้าปกสีเหลืองสดใสของนิตยสาร The Economist ฉบับวันที่ 5-11 พฤศจิกายน 2022 นั้นน่าจะบ่งชี้ชัดเจนว่าการจัดการปัญหาโลกร้อนของประเทศต่างๆ นั้นกำลังดำเนินไปในทิศทางไหน
ชัดเจนว่ามาตรการหลายๆ อย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาดคิด
แผนเดิมที่วางไว้ว่าจะจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม้ให้พุ่งทะยานเกิน 1.5 องศาเซลเชียสในปี 2050 เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ก็ดูเหมือนจะคว้าน้ำเหลว แม้จะยังเหลืออีก 28 ปีกว่าจะถึง 2050 แต่ในเวลานี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกก็พุ่งสูงอย่างรวดเร็วและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไปแตะระดับแล้วที่ 1.3 องศาเซลเชียส
ในขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน (รวมทั้งประเทศไทยด้วย) ก็ขึ้นไปปริ่มๆ แตะขอบกันอยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้วด้วย
และนั่นทำให้หลายประเทศในเขตร้อนต้องประสบกับภาวะวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างหนัก
ที่สาหัสที่สุดที่หนึ่งเห็นจะเป็นในแถบตะวันออกกลาง ที่นอกจากจะต้องเผชิญกับพายุทราย (sandstorm) ที่เกิดขึ้นถี่และหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังต้องผจญกับอุณหภูมิที่ทั้งอบอ้าวและร้อนระอุจนถึงระดับที่ไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หากไม่มีเครื่องปรับอากาศ
นี่คือเรื่องซีเรียสที่หลายภาคส่วนต้องเริ่มให้ความสำคัญ เพราะถ้ามันขยายวงไปเรื่อยๆ ผลกระทบอาจรุนแรงจนเราคาดไม่ถึงก็เป็นได้
ถ้าดูโดยละเอียด ชัดเจนว่าประเด็นเรื่องแผนลดโลกร้อนที่ดำเนินการพลาดเป้ากันไปแทบทุกที่นั้น จะโยนความผิดไปไว้ที่การระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 แค่อย่างเดียวก็คงไม่ได้
เพราะถ้าว่ากันตามจริง ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่ทำให้แผนการชะลอโลกร้อนที่วางกันไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ได้เกิดจากโรคร้าย แต่เป็น “พฤติกรรมของมนุษย์” และ “ความเอาจริงเอาจังของแต่ละประเทศ” ในการสนับสนุนนโยบายเพื่อบรรเทาภาวะวิกฤตให้ดำเนินไปตามแผน
เพราะถ้าเอาตัวเลขที่แท้จริงของอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละประเทศ มากางเทียบกับนโยบายที่ร่างเอาไว้ในแผนความร่วมมือเรื่องการรักษาสภาพภูมิอากาศตอนประชุมครั้งก่อนๆ ต้องบอกว่ากลับตาลปัตร เรียกว่าล้มเหลวไม่เป็นท่ากันถ้วนหน้าหมดทั้งภาคี
และนั่นทำให้การประชุมสุดยอดภาคี ครั้งที่ 27 หรือ Conference of the Parties 27 (COP27) กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ที่อียิปต์เป็นที่จับตามองของสื่อและสังคมทั่วโลกว่า “เราจะตัดสินใจเดินหน้ากันต่อไปอย่างไรดี”
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ “net zero” หรือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิออกสู่ชั้นบรรยากาศให้เหลือ 0 นั้น ไม่เพียงพออีกต่อไปในการชะลอภาวะโลกร้อนและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้เพราะภาวะโลกร้อนที่กำลังส่งผลอย่างแสนสาหัสกับโลก และสารพัดสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้นั้นส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นวัฏจักร เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก (permafrost) นอกจากจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแล้ว ยังปลดปล่อยจุลินทรีย์พวกอาร์เคียที่ผลิตก๊าซมีเทน ที่เรียกว่า เมทาโนเจน (methanogen) ออกมาสู่สิ่งแวดล้อม เติบโตสร้างก๊าซมีเทนส่งขึ้นไปเพิ่มความหนาให้เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ
นี่เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะก๊าซมีเทน คือหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas, GHG) ตัวท็อปที่สามารถสะท้อนความร้อนกลับมาที่ผิวโลกได้ดีกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 25 เท่า ซึ่งจะส่งผลทำให้อุณหภูมิโลกพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอีก
และพอโลกร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกก็จะละลายมากขึ้น เมทาโนเจนก็จะถูกปล่อยออกมาให้เป็นอิสระมากขึ้น วนเวียนเป็นวัฏจักรอันไม่พึงประสงค์ไม่หยุดหย่อน
และแม้ว่ามาตรการในการชะลอและบรรเทาที่ดูจะมีความหวัง จะทยอยถูกพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างเช่น การปลุกกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถอีวีก็เริ่มเห็นผล ราคาที่ถูกลง จนคนทั่วไปเริ่มจับต้องได้ คนก็เริ่มให้ความสนใจ เทคโนโลยีการผลิตพลังงานสะอาดต้นทุนต่ำก็เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุนในตลาดนานาชาติ และเทคโนโลยีการดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศเพื่อให้การปล่อย “คาร์บอนไดออกไซด์สุทธิติดลบ (carbon negative)” ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ทว่า จากแนวโน้มปัจจุบัน ทำนายกันไว้ได้เลยว่าเราคงต้องได้เห็น “ปรากฏการณ์ทะลุเกณฑ์ หรือโอเวอร์ชู้ต (overshoot) หรือก็คือเอาไม่อยู่นั่นแหละก่อนปี 2050 อย่างแน่นอน เพราะถ้ามองแค่เป้า 1.5 องศาเซลเซียสที่เคยตั้งไว้ หลายประเทศก็ปริ่มๆ ในขณะที่บางประเทศก็หลุดทะลุเป้าไปเรียบร้อย
ดูเหมือนว่า ในเวลานี้ ไม่ว่าจะมีมาตรการอะไรออกมา การที่จะจำกัดอุณหภูมิผิวโลกให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสก่อนปี 2050 นั้นคงยากที่จะเป็นไปได้ คำถามเดียวที่ต้องถามก็คือจะทะลุเกณฑ์ หรือโอเวอร์ชู้ต 1.5 องศาขึ้นไปสูงแค่ไหน และมนุษย์เราจะหาหนทางที่จะลดอุณหภูมิที่ล้นเกณฑ์ไปให้กลับลงมาได้ไวเพียงใด
แต่แค่ในปัจจุบัน ขนาดยังขึ้นไม่ถึง 1.5 ปัญหาโลกร้อน อากาศแปรปรวน ภัยพิบัติต่างๆ ทั้งน้ำท่วม ฝนผิดฤดู หรือแม้แต้เรื่องเชื้ออุบัติใหม่ก็พบได้ถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ชัดเจนว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการสูญเสีย วิกฤตแห่งความหลากหลายทางชีวภาพนั้นเกิดขึ้นแล้ว สิ่งมีชีวิตมากมายที่เป็นตัวแปรสำคัญในระบบนิเวศต่างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยสูญพันธุ์ไปอย่างน่ากังวล หลายชนิดกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่การกำหนดเพศของลูกๆ ของพวกมันจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของรัง (temperature-dependent sex determination) อย่างเช่นใน “เต่าทะเล” ที่ถ้าอุณหภูมิรังนั้นเย็นกว่า 27 องศาเซลเซียสที่ไข่ทั้งหมดจะฟักออกมาเป็นตัวผู้ แต่ถ้าเมื่อไรที่อุณหภูมิรังเกิน 31 องศาเซลเซียส ลูกๆ ที่ฟักออกมาจากไข่ก็จะออกมาเป็นตัวเมียทั้งหมดเช่นกัน
นั่นคือ ถ้าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์พวกนี้มีโอกาสสูญพันธุ์ ที่วางไข่ก็หายาก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำทะเลหนุนสูงตลอด แถมฟักออกมาส่วนใหญ่ยังกลายเป็นตัวเมียหมดอีก โอกาสที่จะหาตัวผู้มาผสมพันธุ์ก็จะลดลง และโอกาสในการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์พวกมันก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วย
และถ้าย้อนกลับมามองที่ภาคการเกษตร บรรดาพืชพรรณธัญญาหารที่ไม่เคยชินกับอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าว ก็จะเริ่มอ่อนแอและให้ผลผลิตที่ลดลงอย่างเด่นชัดในภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องไปทำให้เกิดวิกฤตการด้านอาหารได้อีกเช่นกัน
ซึ่งน่าตกใจมากเพราะองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้กำหนดให้วันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 เป็น Day of Eight Billion หรือก็คือวันที่จำนวนประชากรมนุษย์แตะหลัก 8 พันล้านคน อาหารที่ผลิตได้ลดลง แต่จำนวนปากท้องที่ต้องเลี้ยงดูกลับเพิ่มพูนทวี ฉากทัศน์แห่งวิกฤตอาหารนั้นชัดเจน
ทว่า แม้จะมีการคาดเดาฉากทัศน์กันเอาไว้บ้างแล้วว่าวิกฤตอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้าอุณหภูมิโดยเฉลี่ยโลกสูงขึ้นมากกว่า 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียส แต่การวิเคราะห์และวิจัยอย่างละเอียดถึงผลกระทบที่ร้ายแรงจริงๆ จากภาวะโลกร้อนนั้นกลับยังไม่เคยมีใครศึกษาเอาไว้อย่างจริงจัง
“การวิเคราะห์ฉากทัศน์จากแย่ถึงแย่ที่สุด (bad to worst scenario) สำคัญมากในการวิเคราะห์ความเสี่ยง” ทิมโมธี เลนตัน (Timothy Lenton) นักวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบโลก มหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ (Global Systems Institute, the University of Exeter) กล่าว
“นี่อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการประเมินความเสี่ยงและออกแบบวิธีหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่คาดฝันและไม่พึงปรารถนา”
“ถึงเวลาแล้วที่สังคมนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจะตระหนักถึงปัญหาและความท้าทายในการทำความเข้าใจภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงอย่างถ่องแท้ รวมถึงวิเคราะห์ฉากทัศน์ที่แย่ถึงแย่ที่สุด” ทิมโมธีจับมือนักวิจัยกลุ่มใหญ่เปิดวิสัยทัศน์ เขียนกระทุ้งงานวิจัยในเปเปอร์ “Climate Endgame : Exploring catastrophic climate change scenarios” ที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาในวารสาร PNAS หรือ Proceedings of National Academy of Sciences USA ซึ่งในมุมมองของทิมโมธี การวิเคราะห์ฉากทัศน์แบบแย่ถึงแย่ที่สุดในเรื่องของโลกร้อนและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงนั้น จะต้องมองปัญหาให้ได้อย่างครอบคลุม และต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจะมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เราจะเจอกับวิกฤตการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์แบบในยุคเพอร์เมียน (Permian extinction) หรือไม่
สังคมมนุษย์เองจะโดนผลกระทบมากน้อยเพียงไร ทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และวิถีชีวิต แล้วจะมีกลไกอะไรที่อาจจะทำให้เกิดหายนะรุนแรงขนาดสามารถพรากชีวิตมนุษย์นับล้านไปได้อีกหรือเปล่า
อาจจะฟังดูเหมือนการมองโลกในแง่ร้าย
แต่ข้อมูลที่เป็นคำตอบของคำถามเหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญที่จะนำมาใช้สร้างแบบประเมินพิบัติภัยแบบบูรณาการ (Integrated Catastrophe Assessment) ที่อาจจะนำมาช่วยผลักดันนโยบายป้องกัน คิดแนวทางการตอบสนองรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือแม้แต่กระตุ้นและวางกรอบงานวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่อาจนำพาให้เราสามารถหลีกพ้นพิบัติภัยเหล่านั้นไปได้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัย (หรือแม้แต่เอไอ) จะวิเคราะห์ ประมวลผลและทำนายอนาคตได้แม่นยำเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีว่าจะ “ถูกต้อง” ครบถ้วน และถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบแค่ไหน…
เพราะบางที การซุกบางอย่างไว้ใต้พรม เอาใบบัวมาปิด แล้วโรยผักชีปะหน้า อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนในโลกของความเป็นจริง!!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022