ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | พื้นที่ระหว่างบรรทัด |
ผู้เขียน | ชาตรี ประกิตนนทการ |
เผยแพร่ |
หลังการรัฐประหาร 2490 ซึ่งถือกันว่าเป็นจุดสิ้นสุดของยุคคณะราษฎร จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และในครั้งนี้ ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 10 ปี 5 เดือน (8 เมษายน 2491-16 กันยายน 2500)
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งในช่วงดังกล่าว มีความแตกต่างอย่างมากทั้งในเชิงแนวคิด อุดมการณ์ และนโยบาย หลายอย่างมีลักษณะขัดแย้งกับสิ่งที่จอมพล ป. ได้ทำไว้เมื่อครั้งเป็นนายกฯ ช่วงแรกในยุคคณะราษฎร โดยเฉพาะนโยบายทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม
กล่าวอย่างรวบรัด นโยบายทางศิลปะและวัฒนธรรมของจอมพล ป.ยุคที่สอง มีลักษณะย้อนกลับไปเน้นแนวทางแบบอนุรักษนิยมมากขึ้น ให้ความสำคัญกับศิลปะแบบจารีต สถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์ จัดตั้งกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ตลอดจนการบูรณะวัดวาอาราม
และที่สำคัญคือ การปฏิสังขรณ์โบราณสถานในพื้นที่เมืองเก่าหลายแห่ง
ปลายทศวรรษ 2490 จอมพล ป.เริ่มโครงการ “การปฏิสังขรณ์อดีต” ผ่านการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานในเมืองเก่า สุโขทัย เชียงแสน และอยุธยา ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเมืองเก่าที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย
เชียงแสน คืออาณาจักรของคนไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่แห่งแรกหลังจากที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ สุโขทัย คือยุคทองของประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย เป็นอาณาจักรบ่อเกิด “ความเป็นไทย” แทบทุกอย่าง ส่วนอยุธยาก็คือราชธานีอันเก่าแก่ยาวนาน เต็มไปด้วยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และศิลปะอันงดงามที่สะท้อนความเจริญของคนไทยที่ไม่แพ้อารยธรรมใดๆ ในโลก
กล่าวเฉพาะแค่ในพื้นที่เมืองเก่าอยุธยา ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2497-2500 มีโครงการขุดแต่ง บูรณะ และปฏิสังขรณ์เกิดขึ้นมากมาย เช่น วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ พระราชวังเก่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระราม เจดีย์วัดสามปลื้ม วัดไชยวัฒนาราม ฯลฯ
นอกจากนี้ จอมพล ป.ยังได้วางแผนพัฒนาเมืองเก่าอยุธยาอีกหลายโครงการ ทั้งการขุดลอกและปรับสภาพบึงพระรามให้กลายเป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชน และการปฏิสังขรณ์วิหารพระมงคลบพิตรให้กลับสู่สภาพเดิม
แต่โครงการ “การปฏิสังขรณ์อดีต” ในยุคสมัยนี้ที่น่าสนใจที่สุดในความเห็นผมก็คือ โครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากหนีออกจากอยุธยา บริเวณวงเวียนวัดสามปลื้ม
โครงการนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดของ จอมพล ป.โดยตรง และมีหลวงบุรกรรมโกวิท ผู้อำนวยการก่อสร้างทั่วไปในคณะกรรมการบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้รับผิดชอบ
หลวงบุรกรรมโกวิททำหนังสือถึงหลวงวิเชียรแพทยาคม รักษาการอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2499 พูดถึงโครงการ ความตอนหนึ่งว่า
“…ด้วยท่านนายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้บูรณะพระเจดีย์วัดสามปลื้มตามรูปเดิม ณ ที่เดิม (กลางวงเวียน) และเจดีย์นี้ไม่ได้ตั้งอยู่สูนย์กลางของวงเวียน จึงได้คิดว่าจะสร้างรูปเจ้าตากครั้งยังไม่ได้ครองกรุงธนบุรี ตัวโตเท่าจริง แต่คงถือดาบยืนบนเนินสูงหันหลังเข้าเจดีย์ เห็นจะไม่ต้องสวมหมวกกระมังเพราะเวลานั้นกำลังหนีพลางสู้พลาง ขอได้กรุณาสั่งเจ้าหน้าที่สร้างหุ่นจำลองรูปปั้นด้วย รวมทั้งวงเวียน เจดีย์ และทางเท้ารอบนอกของรั้วเหล็ก…และให้ขยายรูปเจ้าตากอีกต่างหากเพื่อให้เห็นชัดดูพระพักตร์องค์เดียวอีกรูปหนึ่ง…แต่พระพักตร์เห็นจะต้องเหมือนพระพักตร์ที่ขี่ม้าที่วงเวียนใหญ่ ธนบุรี…”
ต่อมาไม่นาน กรมศิลปากรได้ส่งแบบร่างแผนผังตำแหน่งอนุสาวรีย์ (ดูภาพประกอบ) พร้อมทั้งแบบร่างตัวอนุสาวรีย์ที่ออกแบบขึ้นทั้งหมด 9 แบบเพื่อพิจารณา ซึ่งน่าเสียดายมากที่แบบร่างทั้ง 9 แบบไม่หลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน
ภายหลังจากที่จอมพล ป.ดูแบบทั้งหมดแล้ว ได้สรุปรูปแบบสุดท้ายที่จะสร้าง ตามหนังสือที่หลวงบุรกรรมโกวิท ทำถึงธนิต อยู่โพธิ์ อธิบดีกรมศิลปากร ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2499 ความตอนหนึ่ง ดังนี้
“…ผมได้นำรูปพระเจ้าตากซึ่งจะสร้างที่วงเวียนวัดสามปลื้มเสนอท่านนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านได้เลือกเอาชนิดใส่หมวกและให้เปลี่ยนหันพระพักตร์ไปทางวังน้อย โดยจะแก้วงเวียนให้สูนย์กลางอยู่ตรงสูนย์กลางพระเจดีย์ แล้วจะแก้ทางหลวงแผ่นดินจากวังน้อยและจากสะพานปรีดีธำรงเข้าหาสูนย์นี้…”
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้กรมศิลปากรปั้นหุ่นจำลองเป็นดิน พร้อมวงเวียน มาตราส่วน 1:10 มาให้พิจารณาในรายละเอียดครั้งต่อไป ซึ่งคงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของศิลป์ พีระศรี (ศิลปินที่ออกแบบและปั้นอนุสาวรีย์มากมายในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง) เหมือนเช่นทุกครั้ง ดังที่ปรากฏลายเซ็นของศิลป์ พีระศรี รับทราบการดำเนินการดังกล่าวในท้ายจดหมาย
น่าสังเกตว่า การเลือกตำแหน่งที่ตั้งอนุสาวรีย์ (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องมากับแนวถนนโรจนะที่พุ่งตรงมาจากสะพานปรีดี-ธำรง ซึ่งบริเวณที่ตั้งสะพาน คือบริเวณแถววัดพิชัยสงคราม อันเป็นตำแหน่งที่พระเจ้าตากรวมไพร่พลตีฝ่าวงล้อมพม่าหนีออกจากอยุธยาพอดี
อีกทั้งการตัดสินใจเปลี่ยนพระพักตร์อนุสาวรีย์ให้หันหน้าไปทางวังน้อย (ทิศตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา) ในขณะที่แนวเดิมจะหันหน้าไปทางวัดอโยธยา ยังส่งเสริมให้ภาพเหตุการณ์ตอนพระเจ้าตากหนีออกจากอยุธยามีความสมจริงมากขึ้นด้วย
ในทัศนะผม การเลือกสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากหนีจากอยุธยาตรงบริเวณนี้จึงเป็นความพยายามที่จะสร้างภาพอดีตให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง และเป็น “การปฏิสังขรณ์อดีต” ในช่วงตอนของเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย ที่สามารถปลุกเร้าความรู้สึกรักชาติได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้สร้างจริง ซึ่งไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นด้วยเหตุใด แต่ถ้าจะวิเคราะห์ในเบื้องต้น ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า ในช่วงเวลานั้น จอมพล ป.คงกำลังให้ความสนใจกับเมกะโปรเจ็กต์ใหญ่ คือ “งานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ” (ระหว่างวันที่ 12-18 พฤษภาคม พ.ศ.2500) ซึ่งข้าราชการทุกหน่วยงาน ณ ตอนนั้น ต่างต้องระดมงบประมาณและบุคลากรทั้งหลายเพื่อการจัดงานดังกล่าวให้สำเร็จและยิ่งใหญ่
ดังนั้น โครงการสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตากหนีออกจากอยุธยา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะถูกชะลอเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็น่าจะรอจนกว่าการจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษจะจบลง
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ ภายหลังเสร็จงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษเพียงไม่กี่เดือน จอมพล ป.ก็ถูกรัฐประหาร โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 ซึ่ง ณ จุดนี้เอง คงเป็นเหตุที่ทำให้โครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าตาก ถูกยกเลิกไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าโครงการ “การปฏิสังขรณ์อดีต” ในพื้นที่เมืองเก่าอยุธยาของ จอมพล ป.ในช่วงนี้จะล้มเหลวไม่ได้สร้างทั้งหมด ยังมีโครงการที่สำคัญอีกหลายโครงการที่ทำสำเร็จและส่งผลต่อสภาพทางกายภาพและความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน
การปฏิสังขรณ์วิหารพระมงคลบพิตร คือหนึ่งโครงการที่ได้เริ่มทำจริงในยุคนี้
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.2310 วิหารพระมงคลบพิตรได้ถูกทิ้งร้างและชำรุดทรุดโทรม จนหลังคาพังทลายลงหมดสิ้น พระเมาฬีและพระกรข้างขวาหักเสียหาย
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้วิหารพระมงคลบพิตรจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ชนชั้นนำสยามเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากภาพถ่ายหลายภาพของกษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ไปจนถึงแขกบ้านแขกเมืองชาวต่างขาติ เมื่อไปเที่ยวชมเมืองเก่าอยุธยาจะต้องแวะถ่ายภาพด้านหน้าวิหารพระมงคลบพิตรเสมอ แต่วิหารหลังนี้ก็ไม่เคยได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์แต่อย่างใด จะมีก็เพียงการซ่อมแซมตัวองค์พระเท่านั้น
สภาพทิ้งร้างหลังคาพังทลายดังกล่าว ล่วงมาจนถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะเข้ามาบูรณะแต่อย่างใดเช่นกัน ตัววิหารยังคงถูกทิ้งในสภาพเดิม แม้ว่าจะเป็นโบราณสถานสำคัญที่แทบทุกคนต้องมาเยือนและถ่ายภาพด้วยก็ตาม
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2498 นายกรัฐมนตรีอูนุ ของพม่า (ดำรงตำแหน่งในช่วง พ.ศ.2491-2501) ได้เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของรัชกาลที่ 9
ในการมาครั้งนั้น อูนุได้ร้องขอให้รัฐบาลไทยพาคณะรัฐบาลจากพม่าเดินทางไปเยี่ยมชมอยุธยา เพื่อสักการะวัดสำคัญต่างๆ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดโครงการปฏิสังขรณ์ใหญ่วิหารพระมงคลบพิตรจนสำเร็จเป็นอาคารสมบูรณ์ดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022