มนุษย์ คือ เด็กนักเรียนศึกษาความตาย | ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฉันรู้สึกเบื่อกฎสามข้อของ Asimov มาก เกี่ยวกับหุ่นยนต์ ที่บอกว่า

๑ หุ่นยนต์ห้ามทำร้ายมนุษย์

๒ หุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังมนุษย์ ยกเว้นแต่ว่าไปขัดแย้งกับกฎข้อหนึ่ง

๓ หุ่นยนต์ต้องปกป้องตัวเอง ยกเว้นแต่ว่าไปขัดแย้งกับกฎข้อสองและข้อหนึ่ง

ที่ฉันเบื่อหน่าย เพราะรู้ว่า มันเป็นนามธรรม ปฏิบัติไม่ได้จริง เหมือนเราจะเอาศีลธรรมมาบอกให้มนุษย์เลิกทำชั่ว มันได้ในความคิด และอาจได้ผลกับคนบางคน แต่กับมนุษยชาติโดยรวม ไม่ได้ผล ชีวิตจริงเป็นรูปธรรม เราไม่อาจทำให้นามธรรมเหล่านี้ ปรากฏรูปขึ้นมาได้

ดังนั้น จึงง่ายดายมากที่หุ่นยนต์จะทำร้ายมนุษย์ อยู่ที่ว่าคนสร้างจะทำยังไงเท่านั้นเอง

นามธรรมนี้ไม่อาจขวางกั้น อยากทำก็ทำไม่ได้ ไม่มีวิธีการในเชิงปฏิบัติจะทำได้ ไม่มี Algorithm ใดจะเขียนได้

และนั่นเท่ากับบอกว่า ไม่มีศีลธรรมใดจะมาบังคับมนุษย์ได้ มันเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนบางคน

หุ่นยนต์เป็นสิ่งใหม่ มันยังมีพัฒนาการอีกมาก และมนุษย์ก็จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ไม่สามารถบอกให้มันหายตัวไป แต่สามารถปรับตัวของเราให้เข้าหากัน ทีละน้อย ทีละนิด เหมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง จะเหมือนพืชหรือสัตว์ก็ช่าง จะให้คุณหรือโทษก็ช่าง เรามาเรียนรู้ด้วยกัน ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร

มันเป็นชีวิตหนึ่ง ที่สามารถเป็นทาส คนรับใช้ เพื่อน คนรัก ครู ศัตรูของเรา การที่มันมี Range ที่กว้างมาก เป็นอะไรก็ได้ เรียกร้องความรู้สึก อารมณ์นานาจากเราได้นี่เอง ที่น่าสนใจ เพราะเท่ากับว่านี้คือชีวิตใหม่จริงๆ ไม่เหมือนพืชหรือสัตว์อื่นใดในโลกที่เคยมีมา

แต่ความย้อนแย้งทางอารมณ์นี้เองที่เป็น Quantum และเป็นอารมณ์สมัยใหม่ ที่น่าสนใจ เราต้องปรับตัวเข้าหามัน

สมัยหนึ่ง กวีจีนโซวเซ็กเคยตั้งข้อสังเกตว่า นักพรตท่านหนึ่งเลี้ยงนกกระเรียนไว้ ก็สนุกสนานดี และมีบางครั้งยังได้ยินเสียงนกกระเรียนร้อง ดังออกนอกจักรวาล

แต่หากคนเลี้ยงคือเจ้าแคว้นท่านหนึ่ง เช่น เจ้าแคว้นเหวย ชอบเลี้ยงนกกระเรียน จนนำพารัฐของเขาล่มสลาย

ความข้อนี้โด่งดังในสมัยชุนชิว เป็นที่น่าประหลาด ที่พฤติกรรมเดียวกัน แต่มีผลแตกต่างกันเป็นตรงกันข้าม เพราะคนหนึ่งเป็นนักพรต อีกคนหนึ่งเป็นเจ้ารัฐ

เป็นเวลานานมาก กว่ามนุษย์จะมาถึงคอนเซ็ปต์ของ Genocide ซึ่งแม้ในทางปฏิบัติ เรายังยากจะนำอาชญากรเหล่านั้นมาลงโทษได้ แต่อย่างน้อย การมีคอนเซ็ปต์นี้ ทำให้เผด็จการหลายคนต้องยั้งคิด ไม่กล้าฆ่าประชาชนเหมือนคนสมัยก่อน

และวันนี้ เราเริ่มมีคอนเซ็ปต์ของ Ecocide ซึ่งทำให้รัฐบาลในปัจจุบัน ไม่กล้าผลิตเอเย่นต์สีส้ม อย่างที่อเมริกาใช้ในสงครามเวียดนาม เพื่อทำลายป่าทั้งป่า

จะเห็นได้ว่า เอเย่นต์สีส้มนี้ ก็ไม่ได้ทำให้อเมริกาชนะสงครามเวียดนามแต่อย่างใด หากแต่ทำลายป่าในเวียดนามไปมาก และกลายเป็นมลภาวะตกค้างอยู่ในโลก

ฉันพิศวงใน Mindset ของตัวเอง ที่กำลังแปรเปลี่ยนทุกวัน อาจจะมีวันหนึ่ง ที่ Mindset ของฉันพร้อมแล้วที่จะเจอมนุษย์ต่างดาว ด้วยบัดนี้ พวกเขาไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดจนเกินไป

ฉันจะไม่หวาดกลัวพวกเขา เจอกันไม่เหมือนเจอผี หรือเจอสัตว์ประหลาด หากแต่เป็นอีกชีวิตหนึ่ง

สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่า กลับไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว หากแต่เป็น Mindset ของตัวมนุษย์เอง ที่แปรเปลี่ยนได้ ทุกวันเวลา

จากจิตที่ไม่เคยคิด ถึงชีวิตอื่นใดในจักรวาล ด้วยคิดว่าเป็นไปไม่ได้

วันนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เฉพาะในดาราจักรของเรานี้ มีดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้ ไม่ต่ำกว่า ห้าพันล้านดวง

ข้อมูลนี้น่าประหลาดยิ่งนัก มันเกิดขึ้น เมื่อเวลาพร้อม

๑๐

ที่จริงแล้ว การที่มนุษย์แบ่งออกเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา แสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ คือการมีจิตใจ ใฝ่หา มีความรัก มีความชอบ มีความเชื่อที่แตกต่าง นี้คือคุณสมบัติเฉพาะตัวของสิ่งมีชีวิต

เฉกเช่นเดียวกับที่ในทางเคมี สสาร Amino Acid ถนัดซ้าย แต่สสารน้ำตาล ถนัดขวา ทำให้เราสามารถตรวจสอบพวกมันได้ แยกแยะมันได้

หากมนุษย์ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา มนุษย์ก็จะไม่ใช่ชีวิต

๑๑

ความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของการศึกษาคือ ยากที่เราจะศึกษาชีวิตที่เป็นตัวเป็นๆ ได้ แต่ง่ายกว่าที่เราจะศึกษาชีวิตที่ตาย ดังนั้น ความรู้มากมาย เราได้มาจากการศึกษาสิ่งที่ตรงข้ามกับชีวิต คือศึกษาความตาย เช่น ประวัติศาสตร์ ที่จริงแล้ว เราไม่ได้ศึกษาชีวิตเลย หากแต่เราศึกษาความตาย และให้ความตายนั้น มาเป็นครู

เช่น ฉันไม่รู้เลย ว่าชีวิตจริงของพระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระเจ้าเสือ เป็นอย่างไร

แต่ความตายของพวกท่าน พอจะเป็นแสงเทียนเล็กๆ ให้ฉันคาดคะเนชีวิตของพวกท่านได้

อาการตายของพวกท่าน หรือสภาวะที่พวกท่านขับเคลื่อนเข้าใกล้ความตาย

๑๒

ไม่เพียงแต่ประวัติศาสตร์เหล่านี้เท่านั้น ที่เราศึกษาความตาย ที่จริงเกือบทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ศาสนา จิตวิทยา หรืออื่นใด ที่จริงแล้ว เรากำลังศึกษาความตาย เพราะมีแต่ความตายเท่านั้น ที่นิ่งสนิท จนเราตรวจสอบได้ ชีวิตเป็นๆ จะแปรเปลี่ยนเร็วเกินไป เคลื่อนไหว จนยากจะศึกษามันได้โดยตรง ยากเกินกว่าที่เราจะจำกัดความใดๆ ได้ มันดิ้นอยู่ตลอดเวลา

๑๓

แม้แต่การแพทย์ และวิทยาศาสตร์ โดยหลักการ เรากำลังศึกษาสิ่งที่นิ่งแล้ว การจับให้นิ่ง คือความตาย เพราะหากมันไม่นิ่ง ข้อมูลทั้งหมด ก็ไม่มีอยู่ หรือมีอยู่ แต่ก็เชื่อถือไม่ได้ มนุษย์จึงเป็นเด็กนักเรียน ศึกษาความตาย

๑๔

แต่อย่าเย่อหยิ่งกันนักเลย บางครั้งฉันนิ่งอึ้ง เวลาเผชิญหน้ากับนายแพทย์บางท่าน ที่เกาะกุมข้อมูลของความตาย แต่ทระนงเหลือเกิน หรือบรรดากูรูทั้งหลาย ใครที่ยิ่งกอดแน่นกับความตาย ยิ่งผิดมาก

ลืมไปว่า ความตาย เป็นความจริงเพียงแค่อดีต เพียงแค่เศษเสี้ยว ของความจริง