บทเรียน อาฮุย บทเรียน แลกด้วยเลือด จาก ‘ขลุ่ยเหล็ก’ | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

บทเรียน อาฮุย

บทเรียน แลกด้วยเลือด

จาก ‘ขลุ่ยเหล็ก’

 

การต่อสู้ระหว่างอาฮุยกับซิงแซขลุ่ยเหล็กแม้จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ในแต่ละท่าร่างงดงามอย่างยิ่ง

เป็นความงดงามภายใต้ความเชื่อมั่น

“เห็นแก่ท่านรับบาดเจ็บเราต่อให้ท่าน 3 กระบวนท่า” เป็นคำประกาศจากซิงแซขลุ่ยเหล็ก

“เมื่อพบกับเราท่านยังคิดจากไป”

เมื่อเผชิญเข้ากับความมั่นใจเป็นอย่างสูงจากอาฮุยที่ไม่เพียงแต่จะยืนยัน “ท่านยิ่งฆ่าข้าพเจ้าไม่ได้”

พร้อมกับคำยืนยันอย่างหนักแน่นและมั่นคงยิ่งเมื่อมันคิดอำลาจากไป

“ข้าพเจ้าไม่ไปท่านก็ต้องตาย ไม่มีผู้ใดสามารถต่อให้ข้าพเจ้า 3 กระบวนท่า”

จึงท้าทายอย่างยิ่งทั้งระหว่างซิงแซขลุ่ยเหล็กกับอาฮุย ทารกแห่งบู๊ลิ้ม และต่อเราท่านซึ่งติดตามบทบาทของมันมาโดยตลอด

โปรดติดตามจากสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง

ทิเต็กซิงแซรู้สึกมีความหนาวเย็นแผ่ซ่านจากก้นบึ้งหัวใจขึ้นมา มันที่มีเกียรติภูมิกระเดื่องดังมานานปีหาใช่ได้เพราะโชคช่วยไม่ แต่เป็นผ่านการต่อสู้อันโชกเลือกมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ละครั้งที่อาบเลือดต่อสู้มันต่างเคยเผชิญกับนัยน์ตาเยี่ยงนี้มา

ในดวงตาคู่นี้คล้ายไม่มีความรู้สึกใดๆ แก้วตาของบุรุษหนุ่มก็คล้ายดั่งสลักขึ้นจากก้อนหิน ยามมีนัยน์ตาเยี่ยงนี้ถลึงจ้องท่านก็คล้ายเป็นนัยน์ตาของเทวรูปบนแท่นจ้องมองส่ำสัตว์อย่างชืดชา

ทิเต็กซิงแซต้องถอยไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

ขณะนั้นเองกระบี่ของอาฮุยก็ได้แทงออกมาแล้ว กระบี่พอแทงไปไม่มีการกลับเปล่าอย่างเด็ดขาด

ร่างทิเต็กซิงแซพลันพุ่งขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง

ทะยานขึ้นไปบนยอดเหมย เสียงเกรียวกราวดังสนั่นหวั่นไหว เกล็ดหิมะ ดอกเหมย ผนึกกันเป็นภาพพิสดารอยู่กลางอากาศ

มองจากเบื้องล่างขึ้นไป

แลเห็นร่างของทิเต็กซิงแซพลิ้วอยู่ในสีแดงของดอกเหมย และในสีขาวของหิมะ อาฮุยมิได้เงยหน้า

เสียบกระบี่แล้วเดินออกไป

 

สถานการณ์เดียวกันนี้เมื่อเป็นการถอดออกมาผ่านสำนวน น.นพรัตน์โดยเริ่มตั้งแต่ ยามนั้น อาฮุยใช้กระบี่ออกแล้ว

กระบี่พอแทงออก ไม่คืนกลับโดยเปล่า

นี่เป็นหลักการของอาฮุย เมื่อไม่มีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้น อาฮุยจะไม่ใช้กระบี่

ร่างของซิงแซขลุ่ยเหล็กพลันลอยขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง ทะยานขึ้นถึงยอดเหมยได้ยินเสียงกราว

เกล็ดหิมะ ดอกเหมยปลิวเวียนว่อนเต็มท้องฟ้า

หิมะขาวกับดอกเหมยแดง ตัดกันเป็นภาพอันงามเฉิดฉันที่กลางอากาศ

เมื่อแหงนมองจากเบื้องล่างขึ้นไปเห็นร่างของซิงแซขลุ่ยเหล็กลอยพลัดพลิ้วอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ดอกไม้แดง

อาฮุยไม่ได้เงยหน้าขึ้น กระบี่รั้งกลับคืนแล้ว

ซิงแซขลุ่ยเหล็กพลิ้วร่างลงมา มันตกลงอย่างแช่มช้าถึงเพียงนั้น ดูไปคล้ายเป็นมนุษย์กระดาษตัวหนึ่ง

ระหว่างที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศบนพื้นหิมะปรากฏโลหิตหยดหยาดเป็นทางยาว

อาฮุยมองดูคราบโลหิตบนพื้น กล่าวช้าๆ ว่า “ไม่มีผู้ใดสามารถต่อให้ข้าพเจ้า 3 กระบวนท่า แม้สักท่าเดียวก็ไม่สามารถ”

ยิ่งอ่านสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ยิ่งเร้าใจ

 

ทิเต็กซิงแซพลิ้วลงมาแล้ว ดูคล้ายเป็นร่างที่สร้างขึ้นจากกระดาษ ยังอยู่กลางอากาศ บนพื้นหิมะก็มีโลหิตสดๆ หยดเป็นทางยาวก่อนแล้ว

อาฮุยจับตามองโลหิตสดๆ บนพื้นหิมะ

กล่าวขึ้นช้าๆ “ไม่มีคนสามารถต่อข้าพเจ้า 3 กระบวนท่า กระบวนท่าเดียวก็ไม่ได้”

ทิเต็กซิงแซเอนกายพิงต้นเหมย หอบหายใจถี่เร็ว ใบหน้าของมันซีดขาว ที่ใต้คอหอย ทรวงอก มีคราบโลหิตเป็นทาง

ขลุ่ยเหล็กที่มีเกียรติภูมิสะท้านทั่วพิภพจบแดนของมัน ไม่มีโอกาสลงมือเลย

อาฮุยกล่าวต่อไป “แต่ท่านยังมิได้ตาย ก็เนื่องเพราะท่านต่อให้ข้าพเจ้า 3 กระบวนท่าท่านมิได้ผิดสัจจะวาจา”

หัวร่อแล้วกล่าวต่อ “อย่างน้อยยังเข้มแข็งกว่าซิมไบ๊มากนัก”

ซิมไบ๊บอกว่าไม่ทำอันตรายคนเด็ดขาด ขอเพียงทะลวงออกจากค่ายกลล้อฮั่นติ่งได้ แต่ภายหลังยังคงทำอันตราย

บทเรียนนี้อาฮุยสาบานไม่ยอมลืมจนชั่วชีวิต

 

หากประมวลการมาเยือนเฮ้งฮุ้นจึงอีกคราของอาฮุยนับว่ามันผ่านแต่ละด่านด้วยความยากลำบากอย่างยิ่งยวด

ไม่ว่าด่านอิ่วเล้งเซ็งพร้อมกับกระบี่อันปราดเปรียว

ไม่ว่าด่านเกาทัณฑ์พิสดารอันจำลองจากความจัดเจนของขงเบ้งในยุคสามก๊ก ไม่ว่าด่านกระบองของฉั้งฉิก ไม่ว่าด่านดาบทองของเตี่ยเจี่ยหงี

ยิ่งพบกับด่านอรหันต์จำลองของเสียวลิ้มยี่ยิ่งหนักหนาสาหัส

เมื่อมาพบกับซิงแซขลุ่ยเหล็กคล้ายกับอาฮุยเป็นฝ่ายรุก เป็นฝ่ายกระทำ แต่หากศึกษาในแต่ละกระบวนท่าอย่างมีการสังเคราะห์

ก็จะสัมผัสได้ในความลึกล้ำของซิงแซขลุ่ยเหล็ก

โดยเฉพาะเมื่อทิเต็กซิงแซหอบหายใจพลันกล่าว “ยังมี 2 กระบวนท่า” ขบกรามข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้

พยายามฝืนยิ้มกล่าว “เราต่อให้ท่าน 3 กระบวนท่าท่านเพียงลงมือกระบวนท่าเดียว”

อาฮุยหันขวับกลับไปจ้องมองมันอีกครา จ้องมองแน่วนิ่งเป็นเวลาเนิ่นนานจึงกล่าว “ก็ได้”

สะบัดมือเบาๆ กวัดแกว่งไปที่เบื้องหน้าทิเต็กซิงแซ 2 ครา

 

วินาทีนี้เป็นวินาทีอันแฝงเงื่อนปมเร้นลับเอาไว้อย่างแยบยล มิได้เป็นเงื่อนปมจากอาฮุยเพราะสิ่งที่อาฮุยกระทำเสมอเป็นเพียง

สะบัดมือเบาๆ กวัดแกว่งไปที่เบื้องหน้าทิเต็กซิงแซ 2 ครา (สำนวน ว. ณ เมืองลุง)

อาฮุยหันกายมาจับจ้องมองซิงแซขลุ่ยเหล็กใหม่ จับจ้องมองอยู่เนิ่นนานจึงกล่าว “ตกลง”

พลางฟาดฝ่ามือที่เบื้องหน้าซิงแซขลุ่ยเหล็ก 2 ฝ่ามือ กล่าวว่า

“ตอนนี้ทั้ง 3 กระบวนท่าล้วน…”

ยังไม่ทันกล่าวจบ ยามนั้นได้ยินเสียงติงเบาๆ ดาวเย็น 10 กว่าจุดพุ่งออกจากขลุ่ยเหล็กในมือซิงแซขลุ่ยเหล็กดุจห่าฝน (สำนวนแปล น.นพรัตน์)

ขณะเวลานั้นเองเสียงติงดังขึ้นเบาๆ

ประกายแวววับ 10 กว่าจุดพุ่งออกมาจากในขลุ่ยเหล็กทิเต็กซิงแซดั่งสายฟ้า อาฮุยตีลังกากลางอากาศ

แฉลบปราดออกไป 6 วา (สำนวน ว. ณ เมืองลุง)

 

นี่ย่อมเป็นวิกฤตอันหนักหนาสาหัสยิ่งสำหรับอาฮุย รอจนเมื่อลงถึงพื้นร่างก็ไม่อาจยืนหยัดได้แล้ว

ขาอ่อนจนต้องทรุดนั่งกับพื้น

ใบหน้าซีดขาวของทิเต็กซิงแซปรากฏสีแดงระเรื่อของความตื่นเต้นยินดี หอบหายใจกล่าว

“วันนี้เราได้ความรู้มาเรื่องหนึ่ง ไม่อาจต่อให้ผู้ใด 3 กระบวนท่าเป็นอันขาด ท่านก็ควรเรียนรู้เรื่องหนึ่ง หากจะลงมือก็ต้องพิชิตฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลง มิเช่นนั้น ท่านอย่าได้ลงมือเป็นอันขาด”

อาฮุยขบกรามแนบแน่น จับตามองประกายจุดที่ติดอยู่บนเท้า เน้นทีละคำ “เรื่องนี้ข้าพเจ้าต้องไม่ลืมเด็ดขาด (สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง)

ใบหน้าอันซีดขาวของซิงแซขลุ่ยเหล็กปรากฏประกายสีแดงด้วยความลิงโลด

“วันนี้เราเรียนรู้เรื่องหนึ่ง จะไม่ต่อให้ผู้อื่น 3 กระบวนท่า ท่านก็สมควรเรียนรู้เรื่องหนึ่ง หากคิดลงมือก็ต้องโค่นฝ่ายตรงข้ามล้มลง ไม่เช่นนั้นท่านอย่าได้ลงมือเด็ดขาด”

อาฮุยขบกรามกรอด มองดูดาวเย็นที่ปักตรึงอยู่บนเท้าของตัวเอง

กล่าวย้ำทีละคำว่า “เรื่องนี้ข้าพเจ้าต้องไม่ลืมเลือน” (สำนวนแปล น.นพรัตน์)

 

นี่ย่อมเป็นตอนสำคัญไม่เพียงเพราะว่าอาฮุยได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและตัดเส้นทางตนเองออกจากความรับรู้ของลี้คิมฮวงโดยสิ้นเชิงระยะหนึ่ง

หากแต่ลี้คิมฮวงยังต้องเผชิญประสบ “ความจัดเจน” ใหม่

เป็นความจัดเจนอันพบเห็นและสรุปได้จากตึกเมฆเรืองโรจน์ เป็นความจัดเจนอันได้คำตอบของสถานการณ์แจ่มชัดขึ้นมาระดับหนึ่ง

เพียงแต่ยังมิได้เปิดเผยและแผ่แบออกมาเท่านั้น