สะเทือนพลังประชารัฐ! กรณีเงินบริจาค3ล้าน พท.-ก้าวไกลไม่เห็นด้วย ‘พี่ศรี’ ยื่นร้อง ‘ยุบพรรค’

เหตุการณ์ตำรวจนครบาลนำกำลังบุกตรวจค้นจับกุมสถานบันเทิงย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมามีการระบุว่าเป็น “ผับลับคนจีน” เนื่องจากเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น

อันมีเบื้องลึกเบื้องหลังโยงใยถึงกลุ่มนายทุนธุรกิจต่างชาติชาวจีน ที่ลักลอบทำธุรกิจสถานบันเทิงซึ่งภายในมีทั้งยาเสพติดและบ่อนการพนันไว้ให้บริการลูกค้าชาติเดียวกัน

เกมการเมืองในสายตา 'ชูวิทย์' อุ๊งอิ๊งอาจเป็นตัวหลอก พปชร.อาจจับมือเพื่อไทย จับตาให้ดีท่าทีธรรมนัส/รายงานพิเศษ - มติชนสุดสัปดาห์

ก่อนเรื่องราวทั้งหมดได้ลุกลามบานปลายเกินกว่าเป็นการบุกทลายผับมั่วสุมยาเสพติดทั่วไป เมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองคนดัง ซึ่งเคยมีประสบการณ์คลุกคลีแวดวงธุรกิจสีเทามาก่อน ออกมาแถลงข้อมูลสำคัญ ว่า

มีนายทุนชาวจีนที่เดินสายสีเทามาลงทุนเปิดสถานบันเทิงเกินเวลา จัดปาร์ตี้ยาเสพติดและเปิดบ่อนพนันกระจายทั่วกรุงเทพฯ และเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยเปิดรับเฉพาะลูกค้าที่เป็นชาวจีนเท่านั้น

เรียกสถานบันเทิงประเภทนี้ว่า “ผับศูนย์เหรียญ” คือเจ้าของเป็นคนจีน สิ่งของทุกอย่างมาจากประเทศจีนทั้งหมด

“ที่สำคัญขบวนการนี้มีเจ้าพ่อเมืองหลวง เป็นนักการเมืองใหญ่ให้ความคุ้มครอง ทำหน้าที่หาเงินสีเทาเพื่อเอาไปให้กลุ่มการเมือง ตลอดจนเป็นทุนใช้เลือกตั้งครั้งต่อไป” อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ระบุ

เมื่อการจับผับชาวจีนมั่วสุมยาเสพติด โยงใยไปถึงนักการเมืองและกลุ่มการเมือง สังคมจึงเกิดคำถามว่าความจริงธุรกิจผับศูนย์เหรียญ เป็นอย่างไรกันแน่

ถัดจากนั้นเพียงข้ามวันก็ข้อมูลหลุดออกมาเป็นชื่อนายทุนนักธุรกิจชาวต่างชาติ ผู้เป็นเจ้าของสถานบันเทิงเคยบริจาคเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับพรรคพลังประชารัฐ แกนนำพรรครัฐบาล

เมื่อไหร่ อย่างไร ข้อเคลือบแคลงนี้ได้รับการเปิดเผยจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ที่ยอมรับว่า เป็นเรื่องจริงที่มีบุคคลเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงดังกล่าวบริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรคพลังประชารัฐเมื่อปี 2564

“การที่บุคคลจะบริจาคเงินให้พรรค ทางพรรคไม่สามารถรู้รายละเอียดเบื้องลึกของแต่ละบุคคลได้ ส่วนจะเป็นเงินใครหรืออย่างไร พรรคไม่มีเวลาไปตรวจสอบ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง”

“เงินนี้เข้ามาตามตรอกออกตามประตู เราไม่ได้คิดว่าได้เงินมาจากไหน”

นายสมศักดิ์ ยังปฏิเสธว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้บริจาคเงินที่ตกเป็นข่าว สอบถามสมาชิกพรรคแล้วไม่มีใครสนิทเป็นพิเศษ

สมศักดิ์ เทพสุทิน

ประเด็นเงินบริจาค 3 ล้านบาท ทำให้คดีผับศูนย์เหรียญ โยงใยกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองพาดพิงไปถึงพรรคหลักฝ่ายรัฐบาล ซึ่งกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” ทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดี ส.ส.ลูกพรรคหวั่นไหวคิดย้ายพรรค

นักร้องเจ้าเก่าขาประจำ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐในเรื่องนี้

โดยเฉพาะการรับเงินบริจาค 3 ล้านจากนักธุรกิจต่างชาติเจ้าของสถานบันเทิงจะเป็นการกระทำนำไปสู่การ “ยุบพรรค” หรือไม่

“พี่ศรี” อ้างถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 44 ห้ามมิให้พรรคการเมือง ผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมือง และสมาชิกรับบริจาคจากผู้ใดเพื่อกระทําการหรือสนับสนุนการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน

รวมถึงมาตรา 72 ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ

มาตรา 74 ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจาก (1) บุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย (2) นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจหรือกิจการหรือจดทะเบียนสาขาอยู่ในหรือนอกราชอาณาจักร

หากมีมูลจะนำไปสู่การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป

ขณะที่ กกต.มีความว่องไวเป็นพิเศษในประเด็นนี้เป็นพิเศษ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เผยว่า กกต.ได้ตรวจสอบเบื้องต้นใน 3 ประเด็น คือ

ประเด็นแรก ผู้บริจาคมีสิทธิ์บริจาคหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน พบเป็นผู้มีสัญชาติไทย จึงเป็นผู้สามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้

ประเด็นถัดมา จำนวนเงินบริจาค พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

เหลือแค่ประเด็นสุดท้าย พรรคผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รู้หรือควรจะรู้ว่าแหล่งที่มาของเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ประเด็นนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไรจึงจะพิจารณาได้ ขอให้ประชาชนสบายใจ ยืนยัน กกต.ปฏิบัติเหมือนกันกับทุกพรรคการเมือง

เป็นคำมั่นจาก กกต.ในฐานะผู้ติดตามตรวจสอบการรับเงินบริจาคของพรรคแกนนำรัฐบาล เพื่อให้สังคมหายเคลือบแคลง เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งสำคัญในการทำหน้าที่องค์กรอิสระตรวจสอบ

ศรีสุวรรณ จรรยา

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บทสรุปเรื่องเงิน 3 ล้านยังอีกห่างไกล

แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็ได้แสดงออกอย่างมั่นใจในประเด็นที่มีผู้ไปยื่นร้องต่อ กกต.ว่า กรณีนี้ไม่ถึงขั้นยุบพรรคแน่นอน ยืนยันไม่วิตกกังวลในเรื่องนี้

เช่นเดียวกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่มั่นใจเช่นเดียวกันว่า การบริจาคเงิน 3 ล้านบาทไม่มีเหตุผิดกฎหมายแน่นอน เมื่อไม่ผิดกฎหมายคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องยุบพรรค

หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การยุบพรรคการเมืองที่ผ่านมา ก็จะเห็นการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายอำนาจใช้กำจัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่เห็นต่างและไม่สยบยอม

เห็นได้จากหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นำมาสู่การยุบพรรคไทยรักไทย ในเดือนพฤษภาคมปีถัดมา ต่อเนื่องพรรคพลังประชาชนในเดือนธันวาคม 2551

จนหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เครื่องมือยุบพรรคการเมืองถูกนำมาใช้กับพรรคอนาคตใหม่ พรรคการเมืองซึ่งได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ถูกตัดสินยุบพรรค ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563

เหล่านี้สะท้อนว่าการยุบพรรค เป็นเครื่องมือกลไกสำคัญของฝ่ายอำนาจที่ใช้ทำลายนักการเมือง พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม

โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ถูกตัดสินยุบพรรคจากกรณี พรรคทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคขณะนั้น รวม 191.2 ล้านบาท

ทำให้กรณีพรรคอนาคตใหม่ถูกสังคมโลกโซเชียล หยิบขึ้นมาเปรียบกับกรณีเงินบริจาคพรรคพลังประชารัฐซึ่งกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบของ กกต. ว่าเงินของใคร “บริสุทธิ์” กว่ากัน

ต้องรอผลตรวจสอบจาก กกต.เสียก่อนถึงจะตอบได้

 

สํารวจจุดยืนพรรคฝ่ายค้านเพื่อไทย-ก้าวไกล ต่อการยื่นตรวจสอบเงินบริจาค ที่อาจนำไปสู่การ “ยุบพรรค” พลังประชารัฐ

อย่าลืมว่ากว่าจะมาเป็นพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ก็เคยผ่านความเจ็บปวดมาก่อนจากกรณียุบพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน เช่นเดียวกับพรรคก้าวไกล ที่ถือกำเนิดจากการยุบพรรคอนาคตใหม่

เรื่องนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่เห็นชอบกับช่องทางที่จะร้องยุบพรรคตามกฎหมายปัจจุบันที่มีถึง 13 ช่องทาง แบ่งเป็นตามรัฐธรรมนูญ 3 ช่องทาง กฎหมายลูก 10 ช่องทาง

พรรคเพื่อไทยประกาศชัดไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคโดยไม่มีเหตุผล โดยเคยเสนอแก้กฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าการจะให้ยุบพรรคขอให้มีเหตุเดียวคือการล้มล้างการปกครองเท่านั้น

ขณะที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ระบุ พรรคเพื่อไทยเจ็บปวดกับการใช้การยุบพรรคเป็นเครื่องมือทางการเมือง เมื่อพรรคโดนยุบ มีผลให้สมาชิกพรรคเป็นหมื่นเป็นแสนคนต้องสิ้นสภาพสมาชิกไปด้วย

จึงเห็นว่าการยุบพรรคควรมีกรณีเดียวคือล้มล้างการปกครอง ส่วนกรณีอื่นๆ ให้เป็นความรับผิดชอบของกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น

ชลน่าน ศรีแก้ว

ด้านพรรคก้าวไกล นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นประเด็นนี้ว่า

หลักการพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยุบพรรค ไม่ว่าโดยเหตุผลใดๆ เพราะหลักการสิ้นสภาพของพรรคการเมืองควรเป็นไปโดยสมาชิกของพรรค หรือเงื่อนไขการดำเนินการของพรรคการเมืองเอง

ไม่ควรหยิบยกประเด็นใดที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้องค์กรอิสระมาทำลายพรรคการเมือง

ความเห็นของเพื่อไทย-ก้าวไกล ตกผลึกจากการผ่านบทเรียนยุบพรรคมาก่อน

จึงไม่ต้องการให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมาตัดสินชี้ขาดการจะอยู่หรือไปของพรรคการเมือง โดยเฉพาะจากองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน อย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วไม่ว่ากับไทยรักไทย พลังประชาชน หรืออนาคตใหม่

กล่าวถึงที่สุด การจะอยู่หรือไปของพรรคการเมือง ควรอยู่ในอำนาจของประชาชนที่จะตัดสินด้วยการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ผลเลือกตั้งของประชาชนคือฉันทามติชี้ขาดว่าพรรคใดควร “ไปต่อ” พรรคใดควร “พอแค่นี้”

ณัฐวุฒิ บัวประทุม