วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย เสถียร จันทิมาธร / วินาที เอี้ยก่วย แขนขาด (10)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

วินาที เอี้ยก่วย แขนขาด (10)

มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นที่เมืองเซียงหยาง และนอกเมืองเซียงหยาง เป็นเรื่องตะกอนนอนก้นในใจของ 2 พี่น้องตระกูลบู๊ที่หมายปองก๊วยพูเหมือนกัน

และเอี้ยก่วยได้สอดมือเข้าไปแก้ปัญหาให้

การแก้ปัญหานี้มีถ้อยร้อยวาจาที่อาจเกินเลยไปบ้างจากปากของเอี้ยก่วยและความทราบถึงก๊วยพูในกาลต่อมา สร้างความแค้นใจให้กับก๊วยพูอย่างยิ่ง

ดังที่ก๊วยพูกล่าวด้วยน้ำตานองสองแก้ม

“บู๊เล่าแป๊ะบอกว่า รอจนโรคภัยของท่านทุเลาหายดีจะดื่มสุรามงคลของท่านกับข้าพเจ้า ท่านไฉนยังรับปากโดยปราศจากความละอาย ท่านบอกว่ามารดาข้าพเจ้าลอบถ่ายทอดวิชาฝีมือแก่ท่าน พึงตาต้องใจท่านคิดรับประทานเป็นเขยขวัญ มีเรื่องเช่นนี้หรือ”

แม้เอี้ยก่วยจะอธิบาย “ข้าพเจ้าไม่มีความคิดไม่คารวะต่อก๊วยแป๊ะบ้อแม้แต่น้อย ตอนนั้นข้าพเจ้าต้องการให้ 2 พี่น้องตระกูลบู๊ล้มเลิกความตั้งใจจึงกล่าววาจาโดยไม่รู้จักหนักเบา”

แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่สาหัส “ม่วยม่วย ข้าพเจ้าเล่าท่านอุ้มนางไปที่ใดแล้ว ม่วยม่วยข้าพเจ้าคลอดออกมาไม่ถึง 1 วันท่านก็ส่งมอบให้แก่นางมารที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตานางหนึ่ง ยังบอกว่าไม่ทำร้ายม่วยม่วยข้าพเจ้า”

นางยิ่งด่ายิ่งดุร้าย เอี้ยก่วยไหนเลยโต้แย้งได้ หลังจากที่ถูกพิษสภาพร่างกายยังอ่อนแอ ยามร้อนรุ่มขุ่นเคืองกลับล้มหงายลงบนเตียงสิ้นสติสมประดี

ตื่นขึ้นมาก๊วยพูจับจ้องมองอย่างเย็นชา

ยิ่งกล่าวหา ยิ่งโต้ตอบ ยิ่งทำให้อารมณ์อันพลุ่งพล่านของทั้ง 2 ฝ่ายขยายบานปลายกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา

“หากข้าพเจ้ามีความคิดเช่นนั้นจริงไยไม่อุ้มม่วยม่วยท่านตรงไปยังหุบเขาสิ้นไมตรี”

“พิษภายในกายท่านกำเริบไม่อาจเดินทางจึงขอให้ซือแป๋ท่านรุดไป เฮอะ เฮอะ แต่ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตข้าพเจ้าพอฟังซือแป๋ท่านบอกต่อแป๊ะแปะก็ซุกซ่อนม้าวิเศษเหงื่อโลหิตไว้มิให้แผนอุบายของท่าน 2 อาจารย์กับศิษย์สัมฤทธิผล”

“ซือแป๋ข้าพเจ้าเล่านางไปที่ใดแล้ว

“นี่เรียกว่ามีอาจารย์ก็มีศิษย์เช่นนั้น ซือแป๋ท่านมิใช่คนดีเช่นกัน นางบอกว่า ก๊วยโกวเนี้ยก่วยยี้มีจิตใจดีงาม เขามีชีวิตอย่างอ้างว้าง ขอให้ท่านดีต่อเขา พวกท่านความจริงเป็นคู่ คู่สร้างคู่สม ท่านบอกให้เขาลืมเลือนข้าพเจ้าเถอะ ข้าพเจ้าไม่โทษว่าเขาแม้แต่น้อย

นางยังมอบกระบี่วิเศษให้แก่ข้าพเจ้าเล่มหนึ่งบอกว่าเป็นกระบี่กุลสตรีอันใดรวมกับกระบี่สุภาพชนของท่าน นับเป็น เป็นคู่กัน นี่มิใช่วาจาเหลวไหล เป็นอะไร”

วินาทีสำคัญของสถานการณ์เริ่มจากจุดตรงนี้

นางยามอับอายร้อนรุ่มถ่ายทอดคำพูดที่เปี่ยมด้วยความรักอันลึกล้ำจิตใจที่ละห้อยหวนของเซียวเล้งนึ่งออกมา แต่น้ำเสียงกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

เอี้ยก่วยพอได้ยินประโยคหนึ่งคล้ายถูกเหล็กเหลี่ยมกระทุ้งใส่จิตใจคราหนึ่ง

สมองเลอะเลือนเลื่อนลอย ไม่ทราบว่าเหตุใดเซียวเล้งนึ่งกล่าวคำพูดเหล่านี้ ชั่วครู่ให้หลังรับฟังก๊วยพูบอกกล่าวจนจบ

ค่อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาทอประกายพิสดารตวาดว่า

“ท่านหลอกลวงคน ซือแป๋ข้าพเจ้าไหนเลยกล่าววาจาเหล่านี้ กระบี่กุลสตรีนั้นเล่า กระบี่กุลสตรีเล่า ท่านมอบออกมาไม่ได้แสดงว่าหลอกลวงคน”

ก๊วยพูแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา

พลิกข้อมือวูบหนึ่ง คือกระบี่กุลสตรีที่นำมาจากหุบเขาสิ้นไร้ไมตรีจริงๆ เอี้ยก่วยบังเกิดความผิดหวังเต็มอกร้อนรุ่มจนจับต้นชนปลายไม่ถูกร้องว่า “ผู้ใดต้องการคู่กับท่าน กระบี่นี้เป็นของซือแป๋ข้าพเจ้าชัดๆ ท่านขโมยของนาง ท่านขโมยของนางมา”

ยิ่งตอบโต้ยิ่งสร้างความแค้นเคือง ยิ่งตอบโต้ยิ่งสร้างโทสะ ลุกลามบานปลาย

เอี้ยก่วยนั่งกับพื้นไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านขัดขืน เพียงยกมือซ้ายขึ้นป้องอก ก๊วยพูกัดฟันกรอดเพิ่มกำลังข้อมือสะบัดกระบี่ฟันลง

นั่นคือฐานที่มาอันทำให้เอี้ยก่วยกลายเป็นจอมยุทธ์อินทรีแขนเดียว เด่นชัดอย่างยิ่งว่าแขนของเอี้ยก่วยที่ถูกก๊วยพูสะบัดกระบี่ฟัน

คมกระบี่กุลสตรีคมกล้าสุดเปรียบปาน

คมกระบี่พอตัดผ่านแขนขวาของเอี้ยก่วยก็ถูกฟันขาดลงมาโดยไร้เสียง ปรากฏโลหิตฉีดพุ่งดุจน้ำพุ

สร้างความตื่นตระหนกทั้งเอี้ยก่วย และก๊วยพู