คนถือค้อน | ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : รมณ กมลนาวิน

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด | รมณ กมลนาวิน

คนถือค้อน

 

พอได้ถือค้อน เห็นอะไรเขาก็อยากทุบไปหมด

เขาล้วงใต้หมอนหนุนหยิบออกมา กำที่ด้ามจับ หัวค้อนใหญ่เท่ากำปั้น แข็งแกร่งราวทำขึ้นจากเหล็กไหล ด้ามเป็นไม้เนื้อแข็ง ส่วนปลายพันด้วยเส้นหนังกลับสีดำ จับกระชับมือ กวัดแกว่งน้ำหนักกำลังดี ในบรรดาเครื่องมือช่างของพ่อ เขาชอบชิ้นนี้ที่สุด นึกเสียดายที่ถูกทิ้งไว้ในกล่องเครื่องมืออย่างไร้ประโยชน์ แปลกใจทุกครั้งที่ได้ถือมัน เห็นอะไรก็อยากทุบไปเสียหมด

มันเหมือนเป็นอาวุธคู่กาย กว่าจะได้ครอบครองก็หลังจากพ่อตายแล้วนั่นแหละ พ่อหวงเครื่องมือหากิน ทำราวกับเป็นของสูง พอพ่อจากไปด้วยโรคร้าย แม่ก็เก็บเครื่องมือทุกชิ้นลงกล่องไม้ไว้ในห้องเก็บของ เหมือนไม่อยากให้ใครสืบทอด ความจริงเขาก็เป็นช่างไม้ที่เก่งเหมือนพ่อได้ แต่ไม่มีใครคิดอย่างนั้น

เขาถือค้อนออกจากห้อง ซ่อนไว้ในเสื้อ กวาดตาทั่วบ้าน ไม่ได้กลิ่นคนแก่อยู่แถวนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกจนอกตึง แล้วดึงค้อนออกมา เดินหาเป้าหมาย

สิ่งที่ขัดตาเขามานาน คือหมวกกันน็อกของน้า

 

ตัวน้าเล็กเหมือนแม่ คงเป็นพันธุกรรม ดีที่เขาได้ทางพ่อมา ตอนสิบขวบเขาสูงเพียงไหล่น้า แต่ตอนนี้เต็มสิบแปด น้าสูงได้แค่ไหล่เขา แต่ถึงอย่างนั้นน้าก็ชอบพองตัวให้ใหญ่กว่าเขา ยามนั่งหรือเดิน ท่อนแขนจะกางออกดูไม่เป็นธรรมชาติ น้ากลับมาอยู่กับเราอีกหลังพ่อตาย น้าว่าจะอยู่กันได้อย่างไร ผู้หญิงตัวเล็กต้องรับมือกับลูกไม่ปกติสองคน คนหนึ่งบกพร่องทางอารมณ์ อีกคนบกพร่องทางสมอง เขาฟังน้าพูดแล้วแอบส่ายหัว คนที่บกพร่องทางอารมณ์เป็นน้าต่างหาก ไม่ลงรอยกับพ่อจนประกาศว่าจะไม่อยู่ร่วมชายคาเดียวกับพี่เขย

เขาเกลียดน้าที่พยายามเข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนพ่อ ชุบมือเปิบไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะงานการของพ่อ คนรู้งานช่างงูๆ ปลาๆ จะเทียบช่างใหญ่ได้อย่างไร แต่เขาก็ทัดทานไม่ได้ เพราะแม่ก็รักน้องชาย อาจเพราะเป็นน้องคนเล็ก แม่เป็นพี่สาวคนโต น้องชายสองคน เสียไปหนึ่ง เหลือกันอยู่แค่นี้ แม้น้องชายอายุไม่น้อยแล้วแม่ก็ยังอุ้มชู จุนเจือกันไม่ขาดมือราวกับเป็นลูกอีกคน สำหรับเขาแล้ว น้าก็เป็นแค่ผู้ใหญ่ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่งที่อยากได้รับการนับถือ น้าเองก็เกลียดขี้หน้าเขา จ้องแต่หาเรื่องใส่ความ กดข่มเมื่อลับตาแม่ ทนมานาน และตอนนี้เขาจะเอาคืน

เขาเดินเข้าห้องนอนของน้า หยิบหมวกกันน็อกที่โอ่ว่าราคาแพง เขาอยากรู้นักไอ้หมวกใบนี้จะทนค้อนได้แค่ไหน เขาหิ้วเดินตรงไปหลังบ้าน น้องชายนั่งจ่อมอยู่กับสัตว์เลี้ยงแสนรัก เขาละสายตาเดินไปลานตากผ้า วางหมวกลงพื้นซีเมนต์ หันด้านหน้าเข้าหาตัว มือซ้ายลูบคลึงส่วนกลางกระหม่อม “ตายเถอะมึง” พูดแล้วทุบสุดแรง เขาจินตนาการทั้งเสียงกะโหลกแตกและภาพมันสมองกระจายพร้อมเลือดสีแดงสดเต็มพื้น หมวกแตกโพละกระเด็นจากแรงกระแทก เขาเดินตามไปเก็บ พลิกดูรอยแตกยุบแล้วหัวเราะเยาะหยัน ที่แท้ก็ของปลอม เขาวางลงแล้วกระหน่ำทุบอีกไม่ยั้ง ความเกลียดชังที่กักเก็บไว้มานาน เขาสะสางในตอนนี้

หลังใช้เท้าเขี่ยเหยื่อชะตาขาดแล้วเตะทิ้งพ้นสายตา พยานผู้เห็นเหตุการณ์ยืนตัวสั่นตื่นกลัว เขาก้าวเข้าหาแล้วขู่ว่าห้ามนำเรื่องไปบอกใคร แต่น้องแฝดปัญญานิ่มกลับแข็งใจต่อว่าเขา จนความโกรธถูกจุดขึ้นมาอีก เขาหุนหันมองหาสัตว์เลี้ยงของน้อง เจ้าหอยทากใสซื่อเคี้ยวกินแตงกวากุบกับๆ อยู่ในกระถางใส่ดิน โดยไม่รู้ชะตาตนเองว่าจะถึงฆาต เขาทรุดตัวนั่งใกล้มันแล้วเงื้อค้อนในมือ น้องชายตะเบ็งเสียงร้อง พุ่งตัวค่อมกระถางแล้วกอดไว้ เงยหน้ามองพี่ชายพูดไม่เป็นภาษา เขาข่มขู่น้องอีกก่อนผละไป

เขาตระเวนไปทั่วบ้านพร้อมแกว่งค้อนในอากาศ พร้อมจะทุบทุกสิ่งที่อยากลอง

 

แสงแดดล่าถอยกลับสู่ท้องฟ้าไปหมดแล้ว เขาล้มตัวลงบนเตียงด้วยความเมื่อยล้า ปวดไปทั้งท่อนแขนยันหัวไหล่ ผล็อยหลับไปในเสี้ยวนาที แต่ในความฝันเขาไม่ได้นอนพัก ความกระหายในตัวยังเต้นเร่า เขากวัดแกว่งค้อนไปมาราวนักรบ นึกสงสัยไปหมดว่าสิ่งที่ขวางอยู่เบื้องหน้ากับค้อนของเขา อย่างไหนแข็งแกร่งกว่ากัน เขาเดินทุบไปเรื่อยจนเจอน้องชาย ยัดค้อนใส่มือแล้วกระซิบถาม ไม่อยากรู้เหรอว่าเปลือกหอยทากแข็งแค่ไหน น้องเปลี่ยนท่าที คล้อยตามคำพูดโดยง่ายราวถูกสะกด หันไปหาเจ้าตัวเล็กที่กำลังคลานเชื่องช้า แล้วเงื้อสุดแขน

เขาสะดุ้งตื่น ไม่ใช่ตกใจที่เห็นเจ้าหอยทากร่างแหลกคาตา แต่เป็นเสียงเอ็ดตะโรของน้าชาย

ความมืดคลี่คลุมรอบบ้าน อากาศเย็นลงแต่กลางบ้านยังร้อนระอุ น้าแผดเสียงราวเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เขาแง้มประตูห้องนอน สอดสายตามองเหตุการณ์ แม่นั่งหันหลังให้เขาบนโซฟาตัวตรงข้ามน้า มองสิ่งที่น้องชายยื่นให้ดูตรงหน้า หมวกกันน็อกในสภาพพังยับ น้าชี้ให้ดูว่าร่องรอยแบบนี้อาวุธต้องเป็นค้อน และยังบอกอีกว่า ค้อนของพ่อหายไปจากกล่องเครื่องมือ ท่าทีแม่อึดอัดอย่างกับถูกบีบคอ พยายามหายใจลึกแล้วพูด เสียงแม่เบาจนเขาฟังไม่ได้ใจความ ยินแต่เสียงน้าตะเบ็งคำพูดใส่ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ค้อน แต่อยู่ที่คน

“ค้อนอยู่ในมือคนจัญไร ก็สร้างแต่ความเดือดร้อนไปทั่ว”

เขาไม่รู้ว่าน้ารู้อะไรบ้าง และน้องชายเขาปากโป้งหรือเปล่า แต่ประโยคนั้นทำเขาโกรธจนเนื้อเต้น อยากเอาค้อนไปเลาะฟันให้หมดปาก เขาค่อยๆ ปิดประตูแล้วกลับมาที่เตียง คิดทางหนีทีไล่ จะทำอย่างไรหากแม่เข้ามาเค้นถามเอาความ เขารีบหาที่ซ่อนค้อน แล้วปิดไฟ

 

แสงเช้าสลายความมืดจนเหลือเพียงความสว่าง เขาตื่นก่อนหน้านั้นแต่ไม่กล้าลุกออกจากห้องนอน ความจริงเขาเป็นคนไม่กลัวใคร ใจนับว่านักเลงพอตัว แต่เพราะแม่จึงต้องจำยอมให้ เช้านี้เขาถึงรอเวลาให้น้าออกไปทำงานก่อน และก้าวแรกที่ข้ามพ้นกรอบประตูก็เจอแม่นั่งรออยู่

แม่พูดกับเขาเรื่องรั้วบ้านทันทีที่หันมาเห็น เขาใจหายวาบ แม่ยื่นแผ่นไม้สังเคราะห์ยาวราวศอกที่แตกหักให้ดู ก่อนเดินนำไปที่เกิดเหตุ แม่บ่นถึงราคาที่ต้องซื้อเปลี่ยนไม่หยุด เขาเอาแต่มองตามมือชี้ แม่ถอนหายใจแล้วต่อด้วยถมคำสั่งสอนใส่มือปริศนา ราวกับรู้ตัวคนทำ

หลังรับเงินจากแม่เขาก็รีบออกจากบ้านไปร้านขายวัสดุก่อสร้าง กวาดตาดูของในร้าน เขาคิดทำอะไรสักอย่างชดเชยความผิด

เขาเปลี่ยนไม้สังเคราะห์ซ่อมรั้วให้แม่เสร็จ ถือห่อตะปูที่ซื้อมาด้วยกลับเข้าบ้าน เขาตอกตีตะปูจุดที่ออกแบบไว้ในใจ ฝังลงเนื้อไม้ที่ผนังรอบโถงบ้าน ไว้แขวนกระเป๋าและถุงข้าวของ แขวนเสื้อเชิ้ตตัวเก่าของแม่ที่มักสวมทับเวลาไปตลาด ตอกที่เสาเอกสำหรับแขวนนาฬิกา จะเอาเงินเก็บซื้อเรือนใหญ่ให้เอง เขายิ้มกริ่ม รู้สึกเนื้อเต้นเมื่อนึกภาพแม่เดินเข้าบ้านแล้วเห็นมันเป็นอย่างแรก เขาคิดบางอย่างได้อีก เดินไปที่ครัวนอกตัวบ้าน ตอกตะปูลงผนังนับสิบตัวไว้แขวนหม้อ กระทะ แทนการวางซ้อนกันในกระจาด เคยยินแม่บ่นเวลาจะใช้แต่ละที ต้องรื้อเกือบหมดกอง คราวนี้แหละ สะดวกหยิบสะดวกใช้

ถอยหลังมองผลงาน ความจริงเขาเห็นพ่อทำงานมาตั้งแต่เล็ก หากได้โอกาสหยิบจับเครื่องมือให้คุ้นเคย เขาสามารถทำเก้าอี้สวยๆ ให้แม่ได้เลย ถ้าเพียงพ่อไม่เอาแต่เข็นให้เขาเรียนอย่างเดียว อยากให้ฉลาดทันคน ไม่ถูกเอาเปรียบกดขี่ค่าแรงเหมือนพ่อ เขาคงสืบทอด เป็นช่างฝีมืองานไม้ต่อจากพ่อได้

เขาฮึกเหิม อยากสร้างครัวให้แม่ใหม่ ภาพในหัวก่อร่างรวดเร็วพอๆ กับความร้อนรนในอก

เดินกลับเข้าบ้าน เจอแม่ยืนรอตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ไม่ทันถามความ แม่ก็โพล่งตำหนิเรื่องตะปูที่เขาวิสาสะตอกตีไปทั่วผนังบ้าน เขาชะงักค้างพลางคิดว่า นี่เป็นบ้านของเรา และเขาทำเพื่อใครทำไมไม่ถามก่อน แม่ก็เป็นเสียอย่างนี้ เข้าใจแต่คนอื่น เขาจ้องตาแม่พยายามสื่อความรู้สึกทั้งที่รู้ว่าเปล่าประโยชน์ แม่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกระงับอารมณ์ บอกเขาให้ถอนตะปูออกให้หมด แล้วส่งค้อนคืน เขาตะเบ็งเสียงตอบว่ามันเป็นสมบัติพ่อ เขาลูกพ่อก็ควรเป็นของเขา หรือแม่อยากยกให้น้องชายตัวเอง-เขาย้อนถามจี้ใจ แล้วสาวเท้าเดินเข้าห้อง ทิ้งแม่ไว้ตรงนั้น คงจะเกลียดเขากว่าเดิม

ช่างปะไร

 

ขณะนอนลืมตาบนเตียงพลางสบถด่าโชคชะตา ที่ทำให้เขาเกิดมาเป็นลูกชัง ได้ยินเสียงน้าชายเอ็ดตะโรดังลั่น คงเพิ่งกลับจากทำงาน เขาลุกจากเตียง แง้มประตูสอดสายตาออกไป น้าพูดเหมือนทวงถาม แล้วกดดันแม่ให้ริบค้อนคืน ตบท้ายว่าจะเอาเรื่องให้ตายไปข้าง

“คนโง่ถือไว้ ก็มีแต่ความพังพินาศ”

น้าพูดอย่างนั้นอีกแล้ว มันแล่นฝังในหัวจนลมร้อนตีตลบอยู่ในอก เขากัดฟัน เห็นแผ่นหลังแม่สั่นไหว เขาไม่รู้ว่าแม่โกรธหรือร้องไห้ คงเถียงสู้ไม่ไหวจึงบอกจะชดใช้ให้ และขอให้จบเท่านี้ เขาแค่นหัวเราะความไม่เท่าทันของแม่ที่ยอมเสียเงินหมื่นให้ของปลอม น้าก็เลวที่เอาเงินพี่สาวอย่างไม่ละอายใจ

คิดแล้วแค้นใจ เขาละเกลียดคนครอบครัวนี้

กลางดึก เขาถูกกระชากออกจากความมืดใต้ดวงตา ใครสักคนทั้งเตะทั้งถีบประตู เขาลุกนั่ง น้ามาตะโกนที่หน้าห้อง พอเขาเปิดประตูก็ถูกน้าจับคอเสื้อแล้วเหวี่ยงลงพื้น เขาลุกยืนจ้องตาเขม็ง ภาพน้าถูกทุบกลางกระหม่อมจนกะโหลกแตกโผล่พรวดขึ้น เขากำหมัดแน่นพยายามระงับอารมณ์ น้าคงไม่ยอมจบอย่างที่แม่ขอไว้

เขาถูกลากมานอกบ้าน จนถึงลานปูนที่ตั้งถังเก็บน้ำพันลิตร แม่ยืนมองที่ขอบก้นถัง น้ำไหลทะลักผ่านรูที่แตกยุบขนาดเท่ากำปั้นนองพื้นจนแฉะ แม่ชี้ให้เขาดูแล้วพูดเหมือนสุดจะทน

“พ่อมึงใช้ค้อนสร้างบ้าน มึงสร้างแต่ความฉิบหาย”

เขาก็สุดจะทนเหมือนกัน ถามกลับ-แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นรอยค้อนทุบ แต่แม่ไม่ฟังแล้ว สั่งเสียงแข็งให้คืนแล้วไล่เขาไปให้พ้นหน้า น้าชายได้ทีก็ด่าผสมโรง มีแต่คำหยาบคาย แล้วแม่ก็ยืนฟังอยู่อย่างนั้น เขาเก็บความแค้นใจไว้ กลับเข้าบ้านแล้วเก็บเสื้อผ้าออกไปทันที ไม่ยอมคืนค้อน

เขาสาบานกับดินฟ้าอากาศ จะใช้มันนี่แหละทำให้เห็นว่า ไม่ได้ทำแต่เรื่องฉิบหายอย่างแม่พูด

 

แสงแดดสายเข้าเล่นงานผิวกายจนแสบร้อน เมื่อคืนเขาพาตัวเองมาถึงในตัวเมืองห่างจากบ้านราวแปดสิบกิโลเมตร นั่งรอจนฟ้าสว่าง ตอนนี้เขาเดินเทียวไปมาระหว่างหน้าร้านขายไม้แปรรูปสองร้าน ห่างกันราวสองถึงสามร้อยเมตร เป็นร้านหัวมุมถนนฝั่งทิศตะวันออกกับตะวันตก เทียบสองกิจการ เขาอยากฝากอนาคตกับร้านใหญ่มั่นคง แต่ไม่รู้จะเทียบกันจากอะไร ตัดสินใจเลือกร้านฝั่งทิศตะวันตกจากจำนวนลูกค้า เขาเดินเข้าไปสมัครงาน เถ้าแก่ให้เพียงข้าวสองมื้อและที่นอนขนาดเท่าไม้กระดานสามแผ่น หากครบเวลาสามเดือนแล้วไม่ถูกใจ จะไม่ให้ทำงานต่อรวมถึงข้าวมื้อสุดท้าย เขาตกลงโดยไม่ลังเล คืนนี้ต้องได้ที่นอน

เพียงทำงานวันแรก เขาก็รู้ว่าร้านนี้ขายไม้แปรรูปเถื่อน ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ หลังพวกเราคนงานขับรถส่งของถึงโกดังทำเฟอร์นิเจอร์ของลูกค้า เขาเห็นชายรูปร่างท้วมขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไป กลบพิรุธเสมองไปทางอื่น หลังขนไม้ลงเสร็จ ระหว่างทางกลับเขาถามคนขับรถ ถึงได้รู้ว่าพวกนี้คือสายข่าวของเจ้าหน้าที่นอกรีด ที่ควรจะปราบปรามปกป้องทรัพยากรของชาติ กลับใช้อำนาจหน้าที่รีดไถหาผลประโยชน์ พวกคนซื้อไม้ต่างก็อยากได้ของถูก จึงจำอยู่ในวงจรอุบาทว์ เฉือนกำไรส่วนหนึ่งจ่ายให้พวกริ้นไรแทนการถูกจับ หลังเสร็จงานแล้วเข้านอน เขาคิดเรื่องนี้จนค่อนดึก และนอนไม่หลับเกือบถึงเช้า เพราะเหม็นฉุนกลิ่นคนงานที่นอนเบียดเสียดกัน ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ งานหนักหรือกลิ่นตัวคนจะฆ่าเขาตาย

เขาทำงานร่วมสองสัปดาห์ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ค้อนสำแดงฤทธิ์เดชเลยสักครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะได้ใช้ แต่ละวันได้ทำแค่ขนไม้ เขาคิดพลิกชีวิต หลังเลิกงานเขาออกตามหาสายข่าวคนนั้น จนได้พบกับเจ้าหน้าที่นอกรีด ข้อเสนอที่ยื่นไปลงตัว เขากลับมาที่ร้าน ขอเถ้าแก่ทำหน้าที่ขาย ภายในสองเดือนครึ่งที่เหลือจะทำกำไรให้มากกว่าที่ร้านเคยทำได้ เถ้าแก่ชอบความใจถึง ตกลงให้โอกาส

และเพียงหนึ่งเดือน ร้านขายไม้ได้กำไรกว่าเท่าตัว เถ้าแก่นึกทึ่งและว่าเขาเป็นคนมีของ เขาสุดจะดีใจที่มีคนเห็นความสามารถในตัวเขาแบบที่คนในครอบครัวไม่มีวันเห็น เถ้าแก่ถามถึงวิธีการ เขาตอบเพียงว่าแค่ก้าวข้ามความกลัว กล้าทำสิ่งที่ไม่เคยคิดทำ

แม้ฟังคลุมเครือเข้าใจยาก แต่เถ้าแก่ไม่สนแล้ว ขอแค่ได้ยอดขายงามๆ ก็พอ

 

ร้านขายไม้แปรรูปหัวถนนฝั่งตะวันตกกลายเป็นร้านที่ขายดีที่สุดในตัวเมือง แม้ราคาจะแพงกว่าทุกร้าน ก็ใครจะไปซื้อไม้จากร้านอื่นที่มักถูกรีดไถกันเล่า ร้านนี้ทางสะดวก ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพวกเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องคับแค้นใจที่ถูกข่มขู่ ส่วนพวกริ้นไรก็รอรับเงินจากเขา ที่เอาจากส่วนต่างของราคาวัสดุที่ปรับขึ้น ไม่ต้องเสียเวลายกพวกจัดฉากเข้าจับกุม เถ้าแก่ให้ตำแหน่งผู้จัดการ และให้สิทธิ์เขาจัดการทุกเรื่องในร้าน

และทันทีที่มีอำนาจ เขาก็กำจัดสิ่งที่ไม่ชอบใจอย่างแรก คนงานกว่าครึ่งถูกไล่ออก คราวนี้เขาจะได้นอนหลับเต็มอิ่มเสียที เถ้าแก่ได้แต่มองไม่กล้าขัด

นับวันเขายิ่งรู้ลู่ทางลับ ใครอยากได้ไม้มีมูลค่าไม้หายากแค่ไหนเขาก็จัดหาให้ได้ ไม่ถึงครึ่งปีเขาหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้มากกว่าเข้ากระเป๋าเถ้าแก่ ตอนนี้ท่อนแขนเขาใหญ่กว่าค้อนของพ่อจนเทียบกันไม่ได้ เขานึกถึงแม่ คิดจะเอาค้อนที่แม่ทวงนักทวงหนากลับไปคืน มันไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว

วันรุ่งขึ้น เขาหยิบค้อนใส่เป้แล้วขับรถกระบะของร้านไปธนาคาร เบิกเงินสดยัดใส่เป้จนเต็มแล้วหิ้วสะพายหลัง ในอกอัดแน่นไปด้วยความสมหวัง เขาจะเอาความสำเร็จไปกองตรงหน้าแม่ และจะเอาเงินตบหน้าคนที่ทำให้เขาต้องออกจากบ้าน แปดสิบกิโลเมตรในขากลับ รู้สึกไกลจนแทบรอไม่ไหว

บ้านไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่เงียบลงกว่าเดิม เขาเปิดประตูรั้ว เจอเข้ากับซากมอเตอร์ไซค์ของน้าถูกทิ้งไว้อย่างน่าสังเวช เขายิ้มเหยียดแล้วเดินเข้าในบ้าน พื้นที่โถงกลางราวกับเคยใช้จัดงานพิธี โต๊ะเก้าอี้วางผิดที่ทาง เขาเดินผ่านไปหลังบ้าน เจอเจ้าโง่เลี้ยงหอยทากนั่งปล่อยสายตาลอยละล่อง เขาอดตกใจไม่ได้ที่มันซูบผอมลงมากจากที่เคยเหมือนเขาราวออกมาจากบล็อกผลิตเดียวกัน เขาตบเท้าลงพื้นเรียก เจ้านั่นหันมาก็ร้องไห้โฮ ลุกพรวดเข้ากอดเขาแน่น เขาถามหาแม่ มันก็เอาแต่ร้องจนเขาต้องเอามืออุดปาก แต่ก็ยิ่งทำให้มันร้องดังขึ้น เขาต้องพยายามปลอบจนสงบแล้วถามความ ก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอเดินกลับเข้าบ้านไปที่ห้องนอนของแม่ก็รู้คำตอบ

โถเก็บกระดูกตั้งหน้ารูปถ่ายแม่ ด้านข้างมีอีกโถกับรูปคนที่เขาเกลียด ภาพซากมอเตอร์ไซค์ที่หน้าบ้านลอยเข้ามาเล่าเรื่อง เขากลั้นไว้ไม่อยู่ร้องไห้ออกมา ก่นด่าน้าชายทำไมไม่ตายไปคนเดียว พลางปลดเป้วางลงพื้น มองรูปแม่แล้วว่า อย่างน้อยก็ควรอยู่เห็นเงินที่เขาหามาได้ก่อน เขาทั้งเจ็บใจทั้งโศกเศร้า จมลงในน้ำตาอยู่อึดใจ เขาคิดจะพาแม่กับเจ้าโง่ไปอยู่ด้วย แล้วจะทิ้งน้าไว้เป็นผีเฝ้าบ้าน

ยิ่งมองรูปก็ยิ่งเกลียดชัง ความโกรธแล่นภายในจนอกสั่น หายใจเข้าออกมีแต่ลมร้อน น้าไม่ควรเหลืออะไรในชีวิตกระทั่งโถเก็บกระดูก

เขารูดเปิดซิปเป้ หยิบเงินหลายปึกวางลงพื้นแล้วหยิบค้อนออกมา พึมพำว่าจะไม่ทำเองให้เสียมือ เพราะหากสัมภเวสีอาฆาตก็จะไม่เกี่ยวกับเขา เขาเดินออกไปหาน้องชายที่นั่งหน้าประตู ยัดค้อนใส่มือ กระซิบสั่ง พร้อมจุดไฟเกลียดชังกลางใจ เจ้านั่นทำสีหน้าราวกับตาสว่างหลังถูกหลอกมานาน เขายิ้มพอใจ แต่แค่เสี้ยววินาทีเขาก็แทบช็อก ค้อนในมือคนโง่เงื้อฟาดกวาดโถใส่กระดูกทั้งสองร่วงลงพื้น ทั้งเศษกระเบื้องเศษกระดูกแตกกระจายปะปนกัน เขากระโจนเข้ากอดน้องจากด้านหลังขณะเห็นว่าเงื้อจะทุบอีก น้องคลุ้มคลั่งกรีดร้องระบายความโกรธอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาตกใจรีบดึงตัวออกไป

ขณะกำลังปลอบน้องให้สงบลง ก็แว่วยินเสียงตำหนิของแม่ลอยออกมาจากห้อง เขานิ่งฟังอยู่นาน ร้องไห้ และพูดคำขอโทษ

เขารู้แล้วว่าไม่ควรถือค้อน •