รอยแค้น ล้ำลึก รอยแค้น ซิงแซขลุ่ยเหล็ก เบื้องหน้า ‘อาฮุย’ | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

รอยแค้น ล้ำลึก

รอยแค้น ซิงแซขลุ่ยเหล็ก

เบื้องหน้า ‘อาฮุย’

 

แรงสะเทือนจากการล้อมจู่โจมโดย “องครักษ์พิทักษ์กฎ” เสียวลิ้มยี่มีอยู่อย่างแน่นอน แรงสะเทือนจากการกระทำอย่างต่อเนื่องโดย “4 ยอดฝีมือ” มีอยู่อย่างแน่นอน

ทว่า อาฮุยมิได้มีความต้องการจะหลบหนี

เนื่องจากเป้าหมายอย่างแท้จริง คือ ต้องการรู้ให้ได้ว่าพวกเหล่านั้นซุกซ่อนลี้คิมฮวงไว้ในสถานที่แห่งใด

หากเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จมันย่อมมิยอมทอดทิ้งกลางคันอย่างเด็ดขาด

สายตาของอาฮุยจึงกวาดมองเพื่อค้นหาไปรอบข้างดั่งสายตาของเหยี่ยว โฉบลงจากหลังคาดุจแมวป่าอันปราดเปรียว พุ่งไปยังสวนด้านหลัง

ทันใดนั้นมันได้ยินเสียงหัวร่อ เป็นเสียงหัวร่อที่ไม่ดังเท่าใดนัก

แต่อยู่ในระยะใกล้ คล้ายดั่งกับดังขึ้นอยู่ข้างๆ เมื่ออาฮุยเหลียวไปมองยังต้นเสียงจึงได้พบเห็น

ปรากฏว่าผู้ส่งเสียงถึงกับอยู่ห่างจากมันอย่างยิ่ง

ตามสำนวนแปล น.นพรัตน์ ที่ห่างไปหลายวามีเก๋งน้อยอยู่หลังหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ภายในในอิริยาบถเอนกายพิงราวลูกกรง กำลังอ่านหนังสืออย่างจดจ่อ

คล้ายไม่สังเกตสนใจเรื่องราวอื่น

สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ระบุว่า ดูท่าอ่านอย่างลุ่มหลงจนเคลิบเคลิ้ม มันสวมเสื้อนวมที่เก่าคร่ำคร่า ใบหน้าซูบผอมจนเหลืองซีด เคราก็มีหร็อมแหร็ม

ดูไปแล้วคล้ายเป็นนักศึกษาชราที่ขาดอาหาร

ใบหน้าซูบเซียวยิ่ง เหลืองซีดยิ่ง เคราหร็อมแหร็มเบาบาง ดูไปคล้ายบัณฑิตสูงอายุที่ขาดการบำรุงผู้หนึ่ง (สำนวนแปล น.นพรัตน์)

แต่บัณฑิตสูงอายุหากส่งเสียงหัวร่อในที่ห่างไปหลายวา

ผู้อื่นจะไม่รู้สึกว่าเสียงหัวร่อดังที่ข้างกาย มีแต่ยอดฝีมือที่มีพลังการฝึกปรือสูงล้ำเท่านั้นจึงสามารถถ่ายทอดเสียงหัวร่อไปไกลถึงเพียงนี้

อาฮุยชะงักเท้า มองดูมันอย่างสงบ

ย้อนกลับไปอ่านสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง อาฮุยชะงักเท้าไว้ สงบมองมันอย่างเยือกเย็น นักศึกษาชราคล้ายดั่งมิได้เห็นอาฮุย

ยกนิ้วแตะน้ำลายพลิกหนังสือออกอีกใบหนึ่ง

ก้มอ่านอย่างติดอกติดใจต่อไป อาฮุยถอยหลังไปทีละก้าว ถอย 10 กว่าก้าวแล้วพลันหันกาย

พอหันกาย ร่างก็ได้ไปไกลกว่า 6 วา

ไม่เหลียวกลับหลังอีกแล้ว รีบพุ่งปราดจนสุดแรง โลดละลิ่วไป 3 ครั้ง บุกเข้าไปในป่าเหมยแห่งหนึ่ง

เหมยกำลังเบ่งบานสะพรั่ง กลิ่นหอมซาบซ่านไปทั่วทุกแห่งหน

อาฮุยสูดลมหายใจลึกๆ สะกดกลั้นโลหิตที่ประดังมาถึงลำคอให้ลงไปอีกครั้ง มันพบเห็นว่าอาการบาดเจ็บของมันยังสาหัสกว่าที่คาดหมายไว้มากนัก เพราะเมื่อครู่พอใช้ลมปราณที่ทรวงอกก็คล้ายมีโลหิตเดือดดาลจะกระอักออกมา

น่ากลัวว่าจะยากลงมือต่อสู้กับผู้คนแล้ว

 

เมื่ออ่านสำนวนแปล น.นพรัตน์ แต่แล้วยามนั้นพลันได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น เสียงสดใสกังวาน หิมะอันสุมบนดอกเหมยถูกเสียงเร่งเร้าจนร่วงพรู

ตกลงบนร่างของอาฮุย

ท่ามกลางเกล็ดหิมะปลิวโปรย สามารถเห็นคนผู้หนึ่งนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ใต้ต้นเหมยที่ว่างไปหลายวา

บนร่างสวมเสื้อนวมเก่าคร่ำคร่าตัวหนึ่ง

กลับเป็นบัณฑิตสูงอายุที่เมื่อครู่นั่งอ่านหนังสืออยู่

เสียงขลุ่ยอันแหลมคม แปรเปลี่ยนเป็นแผ่วทุ้มทีละน้อย ทีละน้อย อ้อยสร้อยรำพัน บีบคั้นจิตใจผู้คน

จนรันทด หดหู่

คราครั้งนี้อาฮุยไม่ไปอีกแล้ว หากแต่จับจ้องมองมัน กล่าวย้ำออกมาเหมือนกับเป็นคำถาม

“ซิงแซขลุ่ยเหล็ก”

 

นามของซิงแซขลุ่ยเหล็กมิได้เป็นนามใหม่ ไม่เพียงแต่ต่ออาฮุย หากแต่แม้กระทั่งเราท่านซึ่งติดตามเรื่องราว

คงจำได้ในการพบระหว่างลิ่มเซียนยี้กับอาฮุย ณ ศาลบูชา

ข่าวสารอันลิ่มเซียนยี้นำมาเล่าขานให้อาฮุย 1 ลี้คิมฮวงแม้ไม่อาจหลุดรอดแต่อย่างน้อยไม่เป็นอันตรายแล้ว เพียงเพราะพวกชั้งชิกจำต้องคล้อยตามความเห็นของซิมไบ๊ไต้ซือตกลงคุมตัวลี้คิมฮวงไปวัดเสียวลิ้มยี่

“พวกมันเตรียมเดินทางเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เนื่องเพราะค่ำคืนนี้พวกมันจะตั้งโต๊ะเลี้ยงต้อนรับซิมไบ๊ไต้ซือ”

และอีก 1 “มิใช่เพราะต้องการกินมื้อนี้จึงรีรออยู่ แต่กลับอย่างไรต้องอยู่รอกินเลี้ยงมื้อนี้ก่อนให้ได้ เนื่องเพราะงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ยังมีอาคันตุกะพิเศษอีกท่านหนึ่ง

(เป็น) ทิเต็กซิงแซ (ท่านขลุ่ยเหล็ก)”

เมื่ออ่านสำนวนแปล น.นพรัตน์ ก็เห็นความต่อเนื่อง ซิงแซขลุ่ยเหล็กแม้มิใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในแผ่นดินแต่ก็ใกล้เคียงยิ่ง ฟังว่าความสูงส่งของพลังฝีมือคนผู้นี้หาด้อยกว่าเจ้าสำนักมาตรฐานทั้ง 7 ไม่

คนผู้นี้มันมิใช่ชนชั้นที่มีชื่อเสียงจอมปลอม มิเพียงแต่มีพลังฝีมือสูงล้ำ มิหนำซ้ำในขลุ่ยเหล็กยังบรรจุ “ตะปูสะกดวิญญาณ” (เนียบฮุ้นเต็ง) 13 ตัว ใช้ยิงใส่จุดเส้นบนร่างผู้คน

ต่อให้ไม่ตามตัวมาซิงแซขลุ่ยเหล็กก็มิอาจไม่มา

“ทั้งนี้ เพราะนางบำเรอคนโปรดของซิงแซขลุ่ยเหล็กนามยู่อี่ (สมปรารถนา) ได้เสียชีวิตในเงื้อมมือโจรดอกเหมย”

เป็นลิ่มเซียนยี้ต่างหากที่นำข่าว “ซิงแซขลุ่ยเหล็ก” แจ้งต่ออาฮุย

 

เมื่ออาฮุยเอ่ยถามนามเสียงขลุ่ยพลันชะงักหายไปในบัดดล ทิเต็กซิงแซเงยหน้าขึ้น ดวงตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นมีประกายแวววาวราวดาวบนท้องฟ้า

ขณะเวลานั้นชายชราที่ดูท้อแท้ระโหยคล้ายดั่งวัยเยาว์กว่าเดิมอีก 10 ปี

มันจ้องมองอาฮุยแน่วนิ่ง มองอยู่เป็นนานพลันกล่าวขึ้น “ท่านบาดเจ็บแล้ว บาดเจ็บที่กลางหลัง เป็นหลวงจีนซิมไบ๊ลงมือ”

เป็นทั้ง “คำถาม” เป็นทั้ง “คำตอบ”

“ที่แท้องครักษ์พิทักษ์กฎของเสียวลิ้มยี่ก็เพียงเท่านี้เอง ด้วยศักดิ์ศรีของมัน ความจริงไม่สมควรลงมือทำอันตรายคนทางด้านหลัง ในเมื่อทำอันตรายท่านแล้วยิ่งไม่ควรปล่อยให้ท่านหนีอาชีวิตรอดมาจนถึงเบื้องหน้าเรา”

หัวร่อแล้วรำพึงเบาๆ “หรือหลวงจีนชราคิดจะใช้เล่ห์ยืมดาบฆ่าคน”

“ข้าพเจ้าบอกกับท่าน 3 เรื่อง” เป็นเสียงจากอาฮุย “เรื่องแรกหากมิใช่ลงมือที่ด้านหลังมันจะไม่มีทางลงมือเลย เรื่องสอง มันมาตรว่าลงมือก็ฆ่าข้าพเจ้าไม่ตาย เรื่องที่สาม ท่านยิ่งฆ่าข้าพเจ้าไม่ตาย”

คำยืนยันจากทิเต็กซิงแซ “ในเมื่อท่านบาดเจ็บแล้วเราความจริงไม่ยินยอมลงมือเลย แต่คำพูดของท่านเขื่องโขโอหังเกินไปเรามิอาจไม่สั่งสอนให้ท่านสำนึกตัวได้

เห็นแก่ท่านที่บาดเจ็บ เอาเถิด เราต่อให้ท่าน 3 กระบวนท่า”

 

ซิงแซขลุ่ยเหล็กส่งเสียงหัวร่อดังยาวนาน ลอยตัวขึ้น แขนเสื้อนวมคลี่สะบัด ทิ้งตัวลงที่เบื้องหน้าอาฮุยราวเหยี่ยวร้าย

อาฮุยจับจ้องมอง

ซิงแซขลุ่ยเหล็กพลันรู้สึกมีความเย็นสายหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ มันเผชิญกับดวงตาคู่หนึ่ง

เป็นดวงตาที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน

เป็นดวงตาที่แทบปราศจากความรู้สึก เป็นดวงตาที่คล้ายสลักเสลาจากก้อนหิน ขณะที่ดวงตาคู่นี้ถลึงมองคล้ายกับรูปปั้นเทพเจ้าองค์หนึ่งมองดูมวลส่ำสัตว์อย่างชืดชา ซิงแซขลุ่ยเหล็กต้องถอยไปครึ่งก้าวอย่างลืมตัว

ยามนั้นอาฮุยใช้กระบี่ออกแล้ว กระบี่พอแทงออกย่อมไม่คืนกลับโดยเปล่า

นี่เป็นหลักการของอาฮุย หากไม่มีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นมันจะไม่ใช้กระบี่เป็นอันขาด

การปะทะระหว่างซิงแซขลุ่ยเหล็กกับอาฮุยจึงร้อนแรงและแหลมคม

เป็นการปะทะโดยที่เมื่อซิงแซลั่นวาจา “เห็นแก่ท่านรับบาดเจ็บ เราต่อให้ท่าน 3 กระบวนท่า”

ได้ยินเช่นนั้นอาฮุยกลับคิดเดินจากไป

สร้างความสงสัยให้กับซิงแซขลุ่ยเหล็กยิ่ง “เมื่อพบกับเราท่านยังคิดจากไป” พลันประสบกับคำตอบ

“ข้าพเจ้าไม่ไป ท่านก็ต้องตาย”

 

แม้แฟนานุแฟนของ “โกวเล้ง” จะรับรู้อยู่เป็นอย่างดีว่าในที่สุดผลแห่งการสัประยุทธ์จะลงเอยไปอย่างไร

แต่ก็น่าศึกษา และน่าติดตาม

ติดตามว่าในที่สุดแล้วสิ่งที่ซิงแซขลุ่ยเหล็กประสบคืออะไร ติดตามว่าในที่สุดแล้วสิ่งที่อาฮุยประสบคืออะไร

เป็นไปตาม “แผน” เป็นแผนของ “ใคร”