ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ในบรรดาสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองถาวรประจำโปลิตบูโรชุดใหม่ 6 คน (คนที่ 7 ที่ทำหน้าที่ประธาน คือ สี จิ้นผิง) ซึ่งเพิ่งมีการประกาศรายชื่อออกมาปิดท้ายการประชุมสมัชชาแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยประชุมที่ 20 นั้น
มีอยู่ 4 คนที่เป็น “หน้าใหม่” ที่ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมงานและผู้สนับสนุนสี จิ้นผิง มายาวนาน อีก 1 คนเป็นคณะกรรมการกรมการเมืองถาวรชุดเดิม 1 ใน 2 คนที่หลงเหลืออยู่ แต่สนิทสนมกับสี จิ้นผิง มาตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มไต่เต้าทางการเมืองมาด้วยกันในมณฑลส่านซี และถูกเรียกว่า “แก๊งส่านซี” มาด้วยกันอีกด้วย
กรมการเมืองถาวร “หน้าเดิม” คนสุดท้ายน่าสนใจที่สุด เพราะสามารถอยู่ในตำแหน่งกุมนโยบายของพรรคมาต่อเนื่องยาวนาน ในขณะเดียวกันไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพูดว่านี่คือ “คนของสี” หรือ “เพื่อนของสี” ได้เต็มปากนัก
บุคคลที่ว่านี้คือ หวัง ฮู่หนิง นักวิชาการและนักทฤษฎีการเมืองวัย 67 ปี ที่มีบุคลิกอ่อนโยน สุภาพ พูดจานุ่มนวลที่สามารถอยู่ในวงจรอำนาจสูงสุดมาตั้งแต่สมัยของผู้นำอย่าง เจียง เจ๋อหมิน ต่อด้วยหู จิ่นเทา เรื่อยมาจนถึงสี จิ้นผิง และได้รับการคาดหมายว่าจะยังคงตำแหน่งเหนียวแน่นต่อไปอีก 5-10 ปีก็เป็นได้ เพราะนักวิเคราะห์ไม่น้อยที่ระบุว่า หวัง ฮู่หนิง ไม่เพียงเป็นหัวใจของทุกๆ เรื่องในจีนเท่านั้น
ยังเป็น “กุนซือตัวจริง” ของสี จิ้นผิง ตลอดมาอีกด้วย
วิถีการเมืองของหวัง ฮู่หนิง เริ่มต้นในทศวรรษ 1990 เมื่อประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ในขณะนั้นตัดสินใจด้วยตัวเองเลือกดึงตัวมาจากการเป็นนักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ให้ทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษาด้านอุดมการณ์ของประธานาธิบดี
เมื่อสี จิ้นผิง ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสูงสุดทั้งในพรรคและรัฐเป็นสมัยที่ 2 ในปี 2017 สีเลือกเขาเป็นหนึ่งใน 7 กรมการเมืองถาวร ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์ทางด้านการปกครองและการบริหารน้อยมากจนแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
แต่หวัง ฮู่หนิง สร้างชื่อในแวดวงการเมืองจากผลงานทางวิชาการและการโฆษณาชวนเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการผสมผสานแนวความคิดของมาร์กซ์ เข้ากับลัทธิขงจื๊อบวกกับแนวคิดส่วนบุคคลของแกนนำพรรคคนสำคัญๆ ทั้งหลายเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ตัดส่วนที่เป็นผลลบต่อพรรคออก เลือกส่วนที่จะยังประโยชน์ให้กับการปกครองแบบเผด็จการสังคมนิยมมาใช้อย่างชาญฉลาด
สื่อตะวันตกชั้นนำหลายสำนัก รวมทั้งนิวยอร์กไทมส์ และบลูมเบิร์ก ชี้ตรงกันว่า หวัง ฮู่หนิง อยู่เบื้องหลังเอกสารสำคัญๆ และสุนทรพจน์ที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำหลายคน ทั้งยังเป็นผู้เขียนแนวนโยบายสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนจีนไปสู่เป้าหมายของ 3 ผู้นำ ตั้งแต่นโยบาย “3 ตัวแทน” ของเจียง เจ๋อหมิน, “แนวคิดพัฒนาการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์” ของหู จิ่นเทา
มาจนถึงนโยบาย “สังคมนิยมยุคใหม่ในบุคลิกจีน” ที่สี จิ้นผิง ประกาศใช้เป็นแกนของนโยบายหลักของตน
หวัง ฮู่หนิง ยังเป็นนักเขียนหนังสือวิชาการด้านการเมือง การต่างประเทศ เล่มที่สร้างความฮือฮาและถูกนำมาพาดพิงถึงมากที่สุดคือ หนังสือวิจารณ์สังคมอเมริกันชื่อ “America Against America” ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการเดินทางเยือนสหรัฐในปี 1991 เนื้อหาว่าด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและปัญหาท้าทายอื่นๆ ทางสังคมและทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา
หวัง ฮู่หนิง เป็นนักการเมืองสายปฏิรูปมาโดยตลอด แต่เป็นการปฏิรูปในกรอบความคิดของพรรค เพราะเขาเชื่อว่าประเทศอย่างจีน จำเป็นต้องพึ่งพาความเป็น “อำนาจนิยม”, ต้อง “รวมศูนย์อำนาจ” เพื่อทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและทำให้รัฐมีความแข็งแกร่งจนสามารถต่อต้านกับอิทธิพลหรือภัยคุกคามจากภายนอกได้ อันเป็นแนวคิดที่รู้จักกันในเวลานี้ในชื่อ “เผด็จการอำนาจนิยมใหม่” หรือ “นีโอ-ออโทริทาเรียนิสม์” ซึ่งถือเป็นฐานรากของแนวนโยบาย “ไชน่า โมเดล” ที่ว่าด้วยระบบทุนนิยมภายใต้การควบคุมของรัฐ ซึ่งสี จิ้นผิง ชื่นชมไว้มากว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จระดับ “เครื่องหมายการค้า” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว หวัง ฮู่หนิง จะเติบใหญ่มาจากกลุ่มก้อนทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับสี จิ้นผิง แต่ดูเหมือนแนวความคิดว่าด้วยพรรคและรัฐของคนทั้งสอง สอดคล้องและหนุนเสริมซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องการขยายประเด็นต่างๆ ของกลุ่มฮาร์ดไลน์ให้กว้างขวางออกไป, การเคลือบแคลงสงสัยต่อแนวคิดและอิทธิพลของโลกตะวันตก, การจำกัดเข้มงวดไม่ปล่อยให้มีเสรีภาพในการใช้อินเตอร์เน็ต หรือการฟื้นฟูค่านิยมและประเพณีเก่าของจีนให้นำมารับใช้โลกยุคปัจจุบันได้ตราบเท่าที่ยังคงอยู่ในกรอบการตีความของพรรค
เจเรมี อาร์. บาร์เน่ นักสังคมวิทยาชาวนิวซีแลนด์ ชี้ว่าแนวคิดต่างๆ ที่หวัง ฮู่หนิง เลือกหยิบมาใช้งานนั้นทั้งช่วยเหลือและส่งเสริมให้ผู้นำอย่างสี จิ้นผิง คิดว่าตนเองมี “ความชอบธรรม” ในการอยู่ในอำนาจสูงสุดต่อเนื่องต่อไปได้
ทั้งยังช่วยให้สีสามารถครอบงำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ต่อไปอีก 20 หรือ 30 ปี
เพราะการที่หวัง ฮู่หนิง สามารถรักษาตำแหน่งในกรมการเมืองถาวรเอาไว้ได้ แถมยังได้รับการเลื่อนอันดับให้สูงขึ้นอีกด้วยนั้น ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าแนวคิดและการปรับใช้ของหวัง ฮู่หนิง นั้นประสบความสำเร็จมหาศาลเท่านั้น
แต่ยังเป็นกระบวนการที่ “ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์” ด้วยอีกต่างหาก
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022