ล็อก ธนาธร LOCK ก้าวไกล | บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ล็อก ธนาธร

LOCK ก้าวไกล

 

ปรากฏการณ์ที่นายคเณศพิศณุเทพ จักรภพมหาเดชา หรือ “เค ร้อยล้าน” บุกเข้าไปก่อความวุ่นวายภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ที่บริเวณบูธมูลนิธิคณะก้าวหน้า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดยเข้าไป “ล็อกคอ” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมตะโกน “ผมมีระเบิดนะๆ” จนทำให้คนที่อยู่ในงานแตกตื่นอลหม่าน

ด้วยเพิ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายที่หนองบัวลำภู มาไม่นาน

แต่ต้องถือว่าโชคดีที่เหตุการณ์ไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่านั้น

หากนายธนาธรถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ หรือเกิดคนที่ร่วมงานจำนวนมากแตกตื่นเหยียบกันจนบาดเจ็บ ล้มตาย เรื่องอาจจะบานปลายเป็นโศกนาฏกรรมได้ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องอันน่าพึงประสงค์อย่างยิ่ง

โดยเฉพาะกับการเมืองที่จะทวีความเข้มข้นขึ้น เมื่อการเลือกตั้งใหญ่กำลังจะมีขึ้น

ทั้งนี้ แม้นายธนาธรจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า นายธนาธรมีอิทธิพลทางความคิดต่อพรรคก้าวไกลอย่างสูง

การ “ล็อกคอ” นายธนาธร จึงส่งสะเทือนต่อการเมืองโดยรวมอย่างปฏิเสธไม่ได้

อย่างที่ทราบ พรรคก้าวไกลขณะนี้ได้ทยอยนำเสนอนโยบายพรรคต่อสังคม

ซึ่งต้องยอมรับว่า มีความก้าวหน้า ก้าวล้ำ ก้าวไกล อย่างยิ่ง

โดยนโยบายชุดแรกที่นำเสนออกมาคือ “การเมืองไทยก้าวหน้า”

หนึ่งในนั้นคือการผลักดันให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ที่พรรคก้าวไกลมองว่าเป็นกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไข

แกนนำพรรคก้าวไกลระบุว่า พรรคก้าวไกลคุยกันนาน เพราะรู้ว่าการโยนประเด็นนี้ออกสู่สาธารณะอาจนำมาสู่การสูญเสียคะแนนนิยมของพรรค

แต่เมื่อปรากฏว่ากระบวนการบังคับใช้มาตรา 112 ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมีการบังคับใช้อย่างผิดปกติ ส่งผลต่อระบบนิติรัฐนิติธรรม และทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม เป็นปัญหาใหญ่ในสังคม จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการนำเสนอเรื่องนี้

แน่นอน ได้นำไปสู่การต่อต้าน และเกิดภาวะเสียดทาน ต่อการผลักดันเรื่องนี้อย่างรุนแรง

 

หนึ่งในปรากฏการณ์นั้น แน่นอนย่อมเป็นกรณีที่นายธนาธร ซึ่งแม้จะเป็นคนนอก แต่ก็ถูกนายเค ร้อยล้าน ที่ว่ากันว่ามีปัญหาทาง “จิต” บุกเข้าไป “ล็อกคอ” แสดงความไม่พอใจ

ซึ่งนายธนาธรบอกว่า คงต้องดำเนินคดีกับนายเค ร้อยล้าน เพราะถือเป็นบุคคลที่อันตราย และทำพฤติกรรมแบบนี้มาสักระยะแล้ว โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมในสังคมแบบนี้อีก

แต่ที่สำคัญ นายธนาธรได้สื่อสารไปมากกว่าตัวนายเค ร้อยล้าน

นั่นคือ “ถ้าผมสามารถสื่อสารอะไรให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองได้ ผมเสนอว่าต่อให้เราไม่เห็นด้วยทางการเมืองอย่างไร อย่าใช้ความรุนแรงกัน สงบสติอารมณ์ เปิดใจให้กว้าง และใช้เหตุผลคุยกัน ถึงแม้เราจะไม่เห็นด้วยทางการเมืองกัน แต่เรายังอยู่ในสังคมเดียวกัน”

“สิ่งที่เราต้องการเห็นคือการจัดการความขัดแย้งทางความคิดความอ่านด้วยวิธีที่สันติสุข ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น แผลที่หนองบัวลำภูยังสดใหม่อยู่เลย”

ซึ่งยังไม่รู้ว่า ผู้เห็นต่างทางการเมือง จะขานรับ หรือเปิดกว้างต่อการใช้เหตุผลคุยกันหรือไม่

 

ด้วยในตอนนี้ มิใช่เพียงตัวนายธนาธรที่ถูก “ล็อกคอ” ในเชิงกายภาพจากนายเค ร้อยล้าน เท่านั้น

ดูเหมือนว่า พรรคก้าวไกลก็เผชิญการถูก “ล็อก” การเคลื่อนไหวในประเด็นนี้อย่างมากเช่นกัน

โดยในฝั่งฟากการเมือง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศว่า

“พรรคภูมิใจไทยไม่มีนโยบาย ไม่มีความคิดเรื่องแก้ไขมาตรา 112 และไม่เข้าใจว่าคนที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 เดือดร้อนอะไรกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถ้าเราไม่คิดทำผิดกฎหมาย ทำไมต้องกลัวรับโทษทางกฎหมาย ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวัน จะมีก็แต่กลุ่มคนที่คิดจะท้าทาย คิดจะทำผิดกฎหมาย แต่ก็กลัวโทษตามกฎหมาย จึงมาเรียกร้องให้แก้กฎหมาย”

“เราไม่แก้ไข และจะคัดค้าน ขัดขวางถึงที่สุด รวมทั้งจะไม่ร่วมมือ ร่วมทำงานกับพรรคการเมือง นักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ทุกระดับ รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าหรืออีกกี่ครั้งก็ตาม”

คือคำประกาศของนายอนุทิน

 

เช่นเดียวกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าการแก้มาตรา 112 พรรคประชาธิปัตย์ไม่เอาด้วย ประชาธิปัตย์สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 และไม่แก้มาตรา 112 เพราะมาตรา 112 นี้ก็เป็นมาตราที่มีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองประมุขของประเทศไทย

สอดคล้องกับนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ที่บอกว่า จุดยืนของพรรค ชทพ.คือไม่ไปยุ่งอะไรกับมาตรา 112 เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่เห็นคนทั่วไปมีปัญหา มาตรา 112 ไม่ใช่มาตราที่หาเรื่องใคร แต่ใช้เพื่อปกป้องสถาบันอันเป็นที่รัก ทั้งนี้ มาตรา 112 มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ไม่เห็นใครมีปัญหา หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องมีมาตรา 112 รอให้ดินกลบหน้าจะไม่ยอมแก้มาตรา 112 แน่นอน

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรค บอกว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไขมาตรา 112 ที่เป็นบทบัญญัติในการคุ้มครองประมุขของรัฐ ซึ่งเราชัดเจนมาโดยตลอดต่อการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

นอกจากพรรคการเมืองต่างๆ ที่แสดงจุดยืนไม่เอาด้วยแล้ว

พรรคที่ถือเป็นขั้วตรงข้าม อย่างพรรคไทยภักดี ก็เคลื่อนไหว ที่หวังจะ “ล็อกตาย” พรรคก้าวไกลเลยทีเดียว

โดยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา นายสุขสันต์ แสงศรี โฆษกพรรคไทยภักดี พร้อมด้วยนายภัทรพล หมดมลทิน ประธานเครือข่ายและศาสนา พรรคไทยภักดี ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าพรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขมาตรา 112 และมาตรา 116 ขัดต่อ พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ หรือไม่

หากพบว่าขัดหรือมีความผิด กกต.ต้องดำเนินการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

ซึ่งความผิดอาจถึงขั้นยุบพรรคได้

ถือว่า มุ่งล็อกตายกันเลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค เคยยืนยันว่าการเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 จะช่วยลดปัญหาทางการเมืองที่เกิดจากมาตรา 112 ลง และไม่กระทบต่อสถาบัน

ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul ระบุข้อความว่า

“ที่ไม่สบายใจที่สุดคือ พอแต่ละพรรค ส.ส.แต่ละคน ผู้มีอำนาจไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงสื่อมวลชนบางส่วน บางฝ่ายที่ไม่ได้เห็นด้วย หรือแม้แต่ไอโอที่มีการไปปลุกระดม ปั่นกระแสต่างๆ ก็ไปทำในลักษณะที่ว่า พรรคก้าวไกลเขาแตะแต่เรื่อง 112 ไป Branding ตีตราให้พรรคเขากลายเป็นพรรคที่มีวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างไร ทำแบบนี้มีประโยชน์ตรงไหน ถ้ามัวแต่มาทำแบบนี้ พูดว่าพรรคก้าวไกลมีแต่เรื่อง 112 โดยจงใจไม่พูดถึงว่าเขาเป็นพรรคที่เตรียมทำเรื่องเศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม ปฏิรูปกองทัพ กระจายอำนาจ ฯลฯ หากหมกมุ่นพูดแต่ว่าก้าวไกลเป็นพรรคที่ทำแต่เรื่อง 112 แล้วพอถึงเวลาเขาลงเลือกตั้ง แล้วได้คะแนนเสียงมา หากได้เท่าเดิมเท่ากับตอนอนาคตใหม่คือ 6 ล้าน 3 แสนเสียง หรือได้เพิ่มขึ้นหรือน้อยลง ได้ ส.ส.เข้าสภามา แล้วไป Branding ให้พรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ใครเดือดร้อน พรรคก้าวไกลและประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลไม่น่าจะเดือดร้อน แล้วเกิดลงเลือกตั้งแล้วเขาได้คะแนนมาเยอะ ได้มากกว่าพรรคที่ประกาศตัวทุกวันว่าจงรักภักดี ประชาชนจะคิดกันอย่างไร อยากให้ลองพิจารณากันให้ดีๆ ว่าควรใช้วิธีการแบบนี้หรือไม่ จะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันกษัตริย์หรือไม่”

นายชัยธวัช ตุลาธน ให้สัมภาษณ์ผ่านบีบีซีไทย ว่า ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากรอบด้านนั้น มองในแง่ดีว่าภายหลังพรรคเปิดนโยบายการเมืองชุดแรก ได้ทำให้เกิดข้อถกเถียงในสังคม

นั่นหมายความว่าการทำงานทางความคิดเริ่มขึ้นแล้ว

และดูเหมือนกลุ่มคนที่เริ่มคิด อันเป็นเป้าหมายของพรรคก้าวไกลต้องการสื่อถึง

คือคนอีกรุ่นที่พรรคก้าวไกลเชื่อว่าพร้อมปลด “ล็อก” ไปสู่การเมืองใหม่ในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่คงต้องลุ้นกันหนัก และเจอการ “ล็อก” ในทุกด่านแน่นอน

 

ล่าสุด มีกระแสข่าวว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันทื่ 25 ตุลาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเข้าไปหารือในห้องรับรอง โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมด้วย

การหารือ มีการส่งสัญญาณให้คว่ำร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่จะมีการพิจารณาวาระ 2, 3 ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้

โดยอ้างความกังวลว่า หากกฎหมายผ่าน เกรงจะมีปัญหาเรื่องการต้มสุราเถื่อนและการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ แตกต่างจากผู้ผลิตรายใหญ่ในปัจจุบันที่ผลิตถูกต้องตามกฎหมาย มีมาตรฐานสูง

นอกจากนี้ การขายสุราเถื่อนจะเกลื่อนเมืองเหมือนกับเรื่องกัญชาที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่

ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า จึงส่อว่าจะแท้งสูง

ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการ “ล็อก” มิให้พรรคก้าวไกล รวมถึงนายธนาธร ก้าวล้ำทะลุกรอบไปสู่สิ่งใหม่

สิ่งใหม่ที่ท้าทายฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะในฝ่ายอนุรักษนิยมที่ฝังรากหยั่งลึกในสังคมไทย