E-DUANG : แนวรบด้าน “การปลดล็อก” ไม่แจ่มชัด

กรณี”ปลดล็อก”พรรคการเมืองกำลังสะท้อนลักษณะการเปลี่ยนในทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

“คสช.” ไม่ได้ดำรงสถานะ “รุก” อีกแล้ว

ประกาศและคำสั่งหัวหน้าคสช.ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมไม่ได้อยู่ในสภาพ “รุก” เหมือนในห้วงหลังรัฐประหารเดือน พฤษภาคม 2557

อย่างดีที่สุดก็เปลี่ยนมาอยู่ในสภาพ “ยัน”

ทั้ง,หากสังเคราะห์ “สภาพการณ์” อย่างเข้มงวดและจริงจังก็ยังเป็นการยันในลักษณะ “ตั้งรับ” อีกด้วย

“นักการเมือง” ต่างหากที่เป็นฝ่าย “รุก”

ไม่ว่าจะมองผ่านความจัดเจนทาง “การทหาร” ไม่ว่าจะมองผ่านความจัดเจนทาง”การเมือง”

 

หากสังเกตท่าทีไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะมาจาก นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์

ก็พอจะมองออก

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พยายาม “ยื้อ” ด้วยการไม่แสดงออกอย่างแน่ชัดว่าคสช.จะประชุมเมื่อใด

แต่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ วาง”ธง”ไว้หลวม-หลวม

“รัฐบาลควรจะพิจารณาปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจ กรรมทางการเมืองได้อย่างน้อยต้นปี 2561”

“ยื้อ” จากเดือนพฤศจิกายน ยื้อจากเดือนธันวาคม 2560

ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า นายวัลลภ ตังคณานุ รักษ์ เหมือนกับจะสำแดงอำนาจ สำแดงพลังที่มีอยู่ในมือของคสช.ให้เห็น

แต่อย่างเก่งก็ทำได้เพียงแค่ “ยื้อ”

 

เหตุที่ทำให้คสช.ที่เคย “รุก” อย่างต่อเนื่องนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

ต้องมาอยู่ในสภาพ “ยัน” ในลักษณะ “ตั้งรับ”

ปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างมาก 1 คือ รัฐธรรมนูญ และ 1 คือกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง

“รัฐธรรมนูญ” ต่างหากที่ก่อให้เกิด”การเปลี่ยนแปลง”

ที่เคยมาดหมายว่ารัฐธรรมนูญจะเป็นอาวุธ จะเป็นเครื่องมืออย่างสำคัญ แต่ทุกสรรพสิ่งดำเนินไปอย่างสะท้อน 2 ด้านเสมอ

มีทั้งด้านอันเป็น “คุณ” มีทั้งด้านอัน”ไม่เป็นคุณ”